หมายจับจักรภพ-มนัสกับปริศนา‘ดำามืด’
นับจากการจับกุมผู้ต้องหาและอาวุธได้ ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ก็มีการขยาย ผลไปอีกหลายจังหวัด อาทิ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ กาฬสินธ์ุ ชัยภูมิ จับกุมได้เพิ่มขึ้นอีกหลายราย และได้ทำาการสอบสวนพบว่า เป็นเครือข่าย เชื่อมโยงถึงกัน
ปฏิบัติการที่ว่านี้นั้นถูกเรียกว่า “ขอน แก่นโมเดล” ยังไม่ชัดเจนว่ามี นักการเมืองชื่อ อะไร ใครบ้างอยู่เบื้องหลัง ผลการจับกุมทำาให้สังคมไทยได้ “ตา มากขึ้นว่า กองกำาลังติดอาวุธนั้นมีอยู่ สว่าง” จริง
แต่เหตุการณ์ที่นำามาซึ่งการออก ’หมาย จับ“จักรภพ เพ็ญแข พร้อมพวก และ พล.ท. มนัส เปาริก กับพวกนั้น เกิดจากการจับกุมอาวุธ สงครามได้ในพื้นที่ จ.สระบุรี และ จ.พระนคร ศรีอยุธยา เพราะมีการซัดทอดว่า ทั้ง 2 คนเกี่ยวข้อง
สำาหรับจักรภพ นั้นรู้ ๆ กันอยู่ว่าหนีคดีอยู่ต่างประเทศมาแล้ว หลายปี ขณะที่ พล.ท.มนัส ซึ่งชื่อชั้นก็ไม่ธรรมดา สมัยรับราชการทหาร เป็นถึงรองแม่ทัพภาคที่ 3 หลังเกษียณในฐานะเพื่อน ตท.10 รุ่นเดียว กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย และมีตำาแหน่ง เป็นที่ปรึกษา ประชา ประสพดี อดีต ส.ส.หลายสมัย จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะนั้นนั่งเก้าอี้ รมช.มหาดไทย
พูดถึงประชา ต้องนึกถึง สิทธิชัย กิตติธเนศวร อดีต ส.ส. นครนายก เลขานุการของประชา ที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องหลังมี ทหารเข้าไปจับกุมอาวุธสงครามได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งซึ่ง สิทธิชัย เป็น เจ้าของ
หลังปรากฏข่าวออก ’หมายจับ“สมชาย แสวงการ อดีต ส.ว. สรรหา ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความระบุว่า
สมชาย นั้นเป็นอยู่ในกลุ่ม 40 ส.ว. สมัยทำาหน้าที่ได้เป็น 1 ใน คณะกรรมาธิการในการสอบสวนเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองจนนำามา ซึ่งความสูญเสียอย่างมากมายในปี 2553 โดยเฉพาะการไขปริศนาว่ามี กระบวนการ “ชายชุดดำา” เกิดขึ้นจริง
แม้จะเป็นการจับกุมในช่วงของการรัฐประหาร แต่สิ่งที่พบได้ อย่างหนึ่งคือ ทุกขั้นตอนวิธีการล้วนเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทั้ง สิ้น ทั้ง ๆ ที่ภายใต้ “กฎอัยการศึก” ทหารนั้นมีอำานาจเต็มอยู่ในมือ
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ทุกฝ่ายต้องรู้และมี ’ชุดความจริง“ที่ตรงกันซะก่อน.