สัมผัสวิถีไทยที่...แม่ริม
สไตล์ล้านนาผสมผสานของวัฒนธรรมพม่า อินเดีย จีน และชาติ อื่น ๆ ที่เรืองอำานาจอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
โดยมีผืนนาขั้นบันไดที่ลดหลั่นไปตามพื้นที่ไล่ลงไปจนถึง อ่างเก็บนำ้าด้านล่างซึ่งไปสุดอยู่ที่ยุ้งข้าวสุดแนวรั้ว นาข้าวที่มีอยู่ นี้แม้จะมีไว้เพื่อเป็นหนึ่งกิจกรรมให้กับแขกผู้มาเยือนที่อยากจะ สัมผัสวิถีไทย ซึ่งจะมีชาวนามืออาชีพตัวจริงเสียงจริงที่เป็นหนึ่ง ในพนักงานของโรงแรม ทำาหน้าที่ในการสอนและสาธิตก่อนลงมือ ทำา แต่ว่ากันว่านาที่มีอยู่นี้สามารถผลิตข้าวได้ถึงปีละ 2,000 กิโลกรัม เพียงแต่มีช่วงระยะเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวไม่พร้อมกัน
แม้จะไม่ได้ลงแขกดำานาหรือเก็บเกี่ยวทุกวัน หากแต่ในช่วงยามเย็นก่อน พระอาทิตย์จะลาลับ พนักงานผู้เป็นผู้สืบทอดวิถีชาวนาจะมาพร้อมอุปกรณ์ ประจำาตัวทั้งกลอง ฉาบ กระบุง ก่อนจะเดินแห่จากด้านหนึ่งตัดผ่านทุ่งนาไปยัง อีกด้านหนึ่ง
พนักงานเกือบทั้งหมดของที่นี่ล้วนเป็นลูกหลานของชุมชนที่อยู่บริเวณ ใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของโรงแรมในเครือทุกแห่งที่จะจ้างแรงงานจาก คนในท้องถิ่น เพราะเมื่อมาใช้พื้นที่ก็ควรจะให้ความเคารพกับเจ้าถิ่นดั้งเดิมด้วย การมาถึงของโรงแรมจึงไม่ใช่เพียงแค่มาตักตวงผลประโยชน์หากแต่ยังคืนกำาไร ให้กับสังคมไปพร้อม ๆ กันด้วย และเมื่อพนักงานเป็นคนในพื้นที่จึงเป็นเรื่องปกติ ที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้อนรับผู้มาเยือนอย่างจริงใจเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเอง
นอกจากจะมีผู้คนจากรอบพื้นที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งแล้ว แหล่งท่องเที่ยว ใกล้เคียงอย่าง “พิพิธภัณฑ์พระตำาหนักดาราภิรมย์” ที่อยู่ในความดูแลของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ห่างกัน เป็นหนึ่งในเส้นทางขี่จักรยานเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ที่เป็นพระตำาหนักดาราภิรมย์เดิมแห่งนี้ สร้างขึ้นหลังจากที่พระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราช ชายาเจ้าดารารัศมี ทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่ หลังจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ไร้หนามกลิ่นหอมเย็น ที่ทรงตั้งชื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบรมราช สวามีว่า “จุฬาลงกรณ์” ที่ทรงได้มาจากสมาคมกุหลาบแห่งอังกฤษที่ทรงเป็น สมาชิก ออกดอกชูช่ออยู่ด้านหน้าพระตำาหนัก
ใกล้กันเป็นที่ตั้งของ “วัดป่าดาราภิรมย์” พระอารามหลวงชั้นตรี นาม ของวัดนี้ถูกตั้งขึ้นตามพระนามของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี นอกจากจะเป็น สถานที่วิปัสสนากรรมฐานแล้ว ยังมีพระอุโบสถที่สร้างขึ้นตามแบบล้านนาอัน งดงาม ประดิษฐาน “พระสยมภูโลกนาถ” พระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะสุโขทัย, วิหารหลวงที่จำาลองมาจากหอคำาของเจ้าหลวงเชียงใหม่ในสมัยโบราณ, มณฑป พระจุฬามณีศรีบรมธาตุ ( หอแก้ว) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุ เจ้าองค์ประเสริฐ และพระธาตุเจดีย์พระพุทธบาทสี่รอย
ออกเดินทางเลยขึ้นไปตามโค้งของสันเขาไม่ถึง 10 กิโลเมตร คือที่ตั้ง ของ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย” ที่ใครต่อใครต่างรู้จักและเรียก ที่นี่ว่า “ม่อนแจ่ม” หากแต่ความจริงแล้วจุดชมวิวยอดฮิตแห่งนี้คือพื้นที่ส่วน หนึ่งของโครงการหลวงหนองหอย เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่มีทะเลหมอกให้ชม และ รอดูพระอาทิตย์ได้ทั้งตอนขึ้นและตก สำาหรับนักท่องเที่ยวการขึ้นไปเก็บภาพกับ ดอกไม้นานาชนิดที่สลับสับเปลี่ยนมาให้ชมบนยอดอาจเป็นความสุขที่หาได้ไม่ ยาก แต่หากเป็นเหล่าเชฟแล้วเกือบทุกคนจะหยุดอยู่แค่เพียงแปลงสมุนไพร ขนาดใหญ่ด้านล่าง ที่มีทั้งเลมอนไทม์ เลมอนบาล์ม มิ้นต์ คาโมมายล์ โรสแมรี่ วิสาหกิจชุมชน จนมีกิจการขนมเปี๊ยะอร่อยจัง ขนม จากมะพร้าวอ่อน เป็นของฝากติดดาวหลายดวง ที่ ไม่ควรพลาดจะหาซื้อ
ไม้มงคล เท่านั้น เขาเปิดกว้าง ถ้าเดินไหว พอแลกบัตรผ่าน ประตู จะเห็นป้ายชี้ทางเข้าจุดแรกที่ศูนย์บริการนัก ท่องเที่ยว แวะฟังข้อมูลเบื้องต้น แล้วไปกราบสักการะ
เครื่องผลิตไฟฟ้า ลมเย็นแกล้มกับเบเกอรี่หอมหวาน เป็นความสุขที่หาได้ไม่ยาก แต่หากอยาก ยืดแข้งยืดขามากขึ้นลองเดินออกมานอกรั้วโครงการ แล้วลองเล่นโกคาร์ท ดอยที่ชาวเขาเผ่าม้งผู้ให้บริการจะพาลากขึ้นไปบนเนินเขาด้านบน ก่อนจะ สอนวิธีเล่นแล้วปล่อยลงเนินกลับมา
พืชผักผลไม้รวมทั้งสมุนไพรที่ผลิตได้จากโครงการหลวงหนองหอย โรงแรมที่อยู่ใกล้เคียงจะเป็นลูกค้าประจำาเพื่อนำาไปรังสรรค์เมนูขึ้นเสิร์ฟ แต่ ไม่เพียงเท่านั้นปลาเทราส์และปลาสเตอร์เจี้ยนที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ เลี้ยงและจำาหน่าย ยังมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบของเชฟด้วย ซึ่งโฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เชียงใหม่ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าด้วยเช่นกัน โดยนอกจากผู้มาพักจะได้ ลิ้มลองเมนูหลากหลายแล้ว หากนึกอยากเรียนทำาอาหารเชฟก็พร้อมที่จะพา ไปเริ่มต้นตั้งแต่การเลือกซื้อวัตถุดิบ ก่อนจะมาจัดเตรียมและลงมือทำา โดย มีบรรยากาศโรงเรียนสอนทำาอาหารเรือนไทยสไตล์ล้านนา สะท้อนให้เห็นถึง วัฒนธรรมทางภาคเหนือเป็นฉากหลัง
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ร่วมกับโฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เชียงใหม่ และมูลนิธิโครงการหลวงชวนสัมผัสวิถีไทยตามแนวทางวาระแห่งชาติ ณ อำาเภอ แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ดูที่ www.fourseasons.com/chiangmai หรือ โทร. 0-5329-8190 และบางกอกแอร์เวย์ส โทร.1771.
ไหว้แล้วก็ไปต่อที่โรงผลิตไฟฟ้าพลังงาน ความร้อนหน่วยที่ 3–4 อนุญาตให้เข้าไปถึง เครื่องจักรผลิตกระแสไฟ ให้เห็นว่าก๊าซที่ไหลตาม ผลิตไฟฟ้า เป็นหลักการง่าย ๆ แต่มีรายละเอียดน่า ทึ่ง เฉพาะหม้อต้มก็โตเท่าตึกเก้าชั้น เวลาเดินเข้าไป ในจุดผลิต จะมีอุณหภูมิสูงให้เหงื่อซึมกันบ้าง ก็ต้อง เดินตามแนวที่กำาหนด
ห้ามถ่ายภาพ หรือทำาให้เกิดประกายไฟโดย เด็ดขาด
คนหล่อ คนงาม คนเริดทั้งหลาย อดใจ ยั้ง มือ หยุดเซลฟีสักอึดใจ พ้นตรงนี้ไปแล้ว จะแชะ จะ แชร์ ยังไงก็เชิญ
ตรงจุดนี้ คือสาระสำาคัญ จะได้เห็นผู้ปฏิบัติ งาน คอยเฝ้าปุ่มควบคุม จอแสดงผลเต็มห้อง ดู ขรึม แต่ก็เป็นมิตร พร้อมจะให้ข้อมูลโดยไม่ปิดบัง
จากหน่วยปฏิบัติงานผลิตไฟฟ้าที่มีความ ร้อน ท่าทางจริงจัง เราตามป้ายชี้ทาง ต่อไปยัง สวนพฤกษศาสตร์ มีทั้งสวนไม้ในวรรณคดี สวน พันธ์ุไม้ตามเพลงอุทยานดอกไม้ ที่เอาชื่อไม้ดอก 49 ชนิด มาแต่งเป็นเนื้อเพลง แต่ละอย่างได้ยิน แต่ชื่อ โรงไฟฟ้าก็อุตส่าห์หาของจริงมาปลูกให้ดู จนครบ ได้เห็นว่า ผกา จำาปา จำาปี กุหลาบราตรี พะยอม อังกาบ กรรณิการ์...ลำาดวน นมแมว ซ่อนกลิ่น ยี่โถ ชงโค มณฑา สายหยุด เฟื่องฟ้า ชบา สร้อยทอง รูปโฉมเป็นยังไง
ไม่ธรรมดา ไม่น่าเบื่อ ทั้งยังมีแปลงแสดง ไม้มงคลทั่วประเทศในรูปแผนที่ประเทศไทยให้เดิน เลือกชมได้ง่าย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรม การอนุรักษ์ ที่บางปะกง เอานำ้าทิ้งที่ผ่านการบำาบัด ใช้รดต้นไม้ และทำาบ่อเลี้ยงปลา ซึ่งแต่ละตัวงาม ๆ ทั้งนั้น
บรรดากิจกรรมที่ว่า โรงไฟฟ้าจัดได้ กระชับ ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็ครบเครื่อง มีเวลาไป เรียนรู้ธรรมชาติที่อื่น เช่น ดูนก เที่ยวชมป่าชาย เลนที่เกาะธรรมชาติท่าข้าม ตรงปากแม่น้ำา บางปะกง ซึ่งเทศบาลตำาบลท่าข้าม ปรับปรุง พื้นที่มีหอสูงให้ขึ้นชมธรรมชาติริมทะเล ได้เห็น ว่า จุดนี้มีปัญหาขยะลอยน้ำารอบทิศมารวมกัน แต่เทศบาลก็สร้างโอกาส ด้วยการเก็บเศษไม้ ทำาคอนโดฯให้ปูอยู่อาศัย
ได้พันธ์ุปูทะเลที่โรงไฟฟ้ามาช่วยปล่อย เสริมสร้างรายได้ให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง
เสร็จแล้วควรขึ้นไปไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา และ หลวงพ่อโสธร องค์ใหญ่ที่สุด วัดเขาดิน เพราะ ห่างไปอีกแค่ 7 กม.
เสร็จแล้ววกขึ้นมอเตอร์เวย์ไปไหนต่อไหน ต่อได้อีกสบาย
เป็นการใช้วันหยุดที่สุดคุ้มค่ามากครับ.