สมเด็จพระบรมราชินีนาถ 2 พระองค์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
‘สมเด็จพระบรมราชินีนาถ’ หมายถึงตำแหน่งสูงสุดของพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงได้รับ การสถาปนาพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีพระอัครมเหสีเพียง 2 พระองค์เท่านั้น ที่ได้ทรงดำรงตำแหน่งนี้
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระองคแ์ รกแหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดาเปย่ี ม (ภายหลงั ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา) มีพระอิสริยยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชสมภพในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย แรม 7 ค่ำ ปีกุน เบญศก จ.ศ. 1225 ซึ่งตรง กับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ สวรรคต และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ เสด็จขึ้นเถลิง ถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระฐานันดรศักดิ์จึงเปลี่ยน เป็น พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี
เมื่อพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่อง ศรี เจริญพระชันษาขึ้นมีพระสิริโฉมงดงาม เป็นที่ พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเข้ารับราชการเป็น พระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5 ขณะที่มีพระชนมายุ 15 พรรษา โดยมีพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 4 ที่รับ ราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้า สุนันทากุมารีรัตน์ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้า สุขุมาลมารศรี และพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้า สว่างวัฒนา โดยครั้งแรกที่ทรงรับราชการเป็น พระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5 นั้น พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็น พระนางเธอ พระองคเ์ จา้ เสาวภาผอ่ งศรี และในปถี ดั มา ก็ได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี
ภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราช กุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหา วชิราวุธฯ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อไป พร้อมทั้งสถาปนา
พระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวร ราชเทวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ในฐานะเป็นพระราชชนนีในสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จ พระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประพาสทวปี ยโุ รปใน พ.ศ. 2440 เพอ่ื ทรงศกึ ษาวทิ ยา การอันทันสมัยแบบตะวันตก และทรงนำมาปรับปรุง พัฒนาราชอาณาจักรสยามให้ทัดเทียมอารยประเทศ พรอ้ มกนั นน้ั กเ็ พอ่ื ทรงเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ประเทศใน ทวีปยุโรป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหนง่ ผสู้ ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ ซง่ึ ทรง ปฏิบัติราชการแผ่นดินได้เรียบร้อยเป็นที่พอพระราช หฤทัยยิ่งนัก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิม พระนามาภไิ ธยจาก สมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระอคั รราชเทวี เปน็ ‘สมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชินีนาถ’ ซึ่งถือว่าทรงเป็นสมเด็จพระบรม ราชินีนาถพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และของ ราชอาณาจกั รสยาม หรอื ประเทศไทยในขณะนน้ั
เมอ่ื สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เฉลมิ พระปรมาภไิ ธยวา่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการประกาศเฉลิม พระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า ‘สมเด็จ พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี’ บางครั้งออกพระนามว่า ‘สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง’
พระราชกรณียกิจในฐานะสมเด็จพระบรม ราชินีนาถ
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราช กรณียกิจไว้มากมายนานัปการ ทั้งด้านการศึกษา การศาสนา การทหาร การเกษตร และการ สาธารณประโยชน์ เป็นต้น แต่หลักๆ แล้ว จะมี ความสนพระราชหฤทัยด้านการศึกษาของสตรี และด้านการแพทย์และพยาบาล
ด้านการศึกษาของสตรี
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สนพระราชหฤทัยใน การพัฒนาสตรีและมีพระราชดำริว่าความรุ่งเรือง ของบ้านเมืองย่อมอาศัยการศึกษาเล่าเรียนที่ดี ใน พ.ศ. 2444 จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วน พระองค์จัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งที่สอง ขึ้นในกรุงเทพมหานคร และพระราชทานชื่อว่า ‘โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา’ และใน พ.ศ. 2447 ทรง เปิดโรงเรียนสำหรับกุลธิดาของข้าราชสำนักและ บุคคลชั้นสูงคือ ‘โรงเรียนสุนันทาลัย’ ให้การอบรม ด้านการบ้านการเรือน กิริยามารยาท และวิชาการ ต่างๆ อีกทั้งทรงจ่ายเงินเดือนครู และค่าใช้สอย ต่างๆ สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนแก่กุลบุตรกุลธิดา ของข้าราชการใหญ่น้อยและราษฎรอีกเป็นจำนวน มาก ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ตั้ง โรงเรียนและจ่ายเงินเดือนครูในโรงเรียนต่างๆ
ด้านการแพทย์และพยาบาล
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีความห่วงใย ความเจ็บไข้ได้ป่วยของราษฎรและทหารเป็นอย่าง ยิ่ง โดยทรงสนับสนุนการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ตั้งโรงเรียน แพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นในโรงพยาบาลแห่งนี้สำหรับ เป็นสถานศึกษาวิชาพยาบาลและผดุงครรภ์ของ สตรี ทั้งยังทรงจ่ายเงินเดือนแพทย์ มิชชันนารี ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ตลอดจนค่าอาหารของ นักเรียน และพระราชทานพระราชทรัพย์ให้แก่ หญิงอนาถาที่มาคลอดบุตรในโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นค่าใช้สอยทุกคน
พระองค์ทรงเป็นผู้นำชักชวนสตรีไทยให้เลิก การคลอดบุตรในลักษณะที่ต้องอยู่ไฟมาใช้วิธีการ พยาบาลแบบสากล ที่สุขสบายและได้ผลดีกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภา อุณาโลมแดงและได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อเป็น ศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ซึ่งต่อมา ภายหลังที่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทย กับประเทศฝรั่งเศส เรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง อัน นำมาซึ่งการบาดเจ็บให้กับทหารและราษฎร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเห็น ว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระปรีชา สามารถในการที่จะรับพระราช ภารกจิ เปน็ ผสู้ ำเรจ็ ราชการแทน พระองค์ในระหว่างที่ทรง พระผนวช
จำนวนมาก สภาอุณาโลมแดงได้เป็นศูนย์กลางใน การบรรเทาทุกข์ลงอย่างมาก หลังจากวิกฤติการณ์ ดังกล่าว สภาอุณาโลมแดงจึงใช้ชื่อว่า สภากาชาด สยาม ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นองค์กร สาธารณประโยชน์องค์กรแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสา อัยยิกาเจ้า) เป็นสภาชนนี และพระนางเจ้าเสาวภา ผ่องศรี พระวรราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรง ดำรงตำแหน่งสภานายิกา ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรง ตำแหน่งองค์สภานายิกาสืบต่อมารวมเวลาถึง 26 ปี อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์แก่ โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งในกรุงเทพมหานครและ ต่างจังหวัด
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ใน รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่ออาณา ประชาราษฎร์ไว้มากมายนานัปการ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 สิริพระชนมายุ 56 พรรษา
ทรงอนุรักษ์และส่งเสริมงาน ศิลปะพื้นบ้านที่มีความงดงาม หลายสาขา เช่น งานทอผ้าไหม ประเภทต่างๆ งานปักซอย แบบไทย เป็นต้น สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ พระองค์ ที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระนามเดิมคือ หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร พระธิดาพระองค์ใหญ่ในหม่อมเจ้า นักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังเป็นพระวรวงศ์ เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรี สุรนาถ) ประสูติแต่หม่อมหลวงบัว กิติยากร (ราชสกุลเดิม สนิทวงศ์) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุ ประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) อันเป็น บ้านของพระอัยกาฝ่ายพระมารดา สำหรับพระนาม ‘สิริกิติ์’ ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความหมายว่า ‘ผู้เป็นศรี แห่งกิติยากร’
พ.ศ. 2489 ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบ ลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องเสด็จไปทรงดำรง ตำแหน่งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำราชสำนัก เซนตเ์ จมส์ ประเทศองั กฤษ ทง้ั นไ้ี ดท้ รงพาครอบครวั ทั้งหมดไปอยู่ด้วย ในเวลานั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ มีอายุได้ 13 ปีเศษ และเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ขณะที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ได้ศึกษาต่อทั้งวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และวิชาเปียโนกับครูพิเศษ หลังจากนั้นไม่นาน พระบิดาย้ายไปประจำ ณ ประเทศเดนมาร์กและ ฝรั่งเศสตามลำดับ
ระหว่างที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ได้มีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น
ซึ่งยังไม่ได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก) ซึ่ง เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งพระองค์ เสด็จประพาสกรุงปารีสเพื่อทอดพระเนตรโรงงาน ทำรถยนต์ ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภมู พิ ลอดลุ ยเดชโปรดการดนตรแี ละศลิ ปะเปน็ พเิ ศษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็สนใจศิลปะเช่นเดียว กัน ประกอบกับรูปโฉมที่งดงามและกิริยามารยาท ที่เรียบร้อย จึงเป็นที่พอพระราชหฤทัยในสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชยิ่งนักและได้ทรง หมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นการภายใน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492
เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระราชพิธี ราชาภเิ ษกสมรสในพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา ภูมิพลอดุลยเดชกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร จงึ จดั ขน้ึ ณ พระตำหนกั ใหญ่ ในวงั สระปทมุ โดยมี สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสา อัยยิกาเจ้า เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธาน ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภไิ ธยในทะเบยี นสมรสและโปรดให้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พร้อมทั้งสักขีพยาน ลงนามในทะเบียนสมรสนั้น หลังจากนั้นสมเด็จ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จออกในพระราชพิธี ถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงรดน้ำ พระพุทธมนต์เทพมนต์แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสตาม โบราณราชประเพณี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อม ราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรขึ้นเป็น ‘สมเด็จพระราชินี สิริกิติ์’
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิง ถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น พระองค์จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนา เฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชประสงค์จะทรง พระผนวชเป็นพระภิกษุระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เป็นระยะเวลา 15 วัน จึงต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนั้นจึงมีพระราชดำริว่าสมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชินี เป็นผู้มีพระปรีชาสามารถในอันที่จะ รับพระราชภารกิจในคราวนี้ได้ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองคใ์ น ระหว่างที่ทรงพระผนวช ต่อมาในวันเฉลิมพระ
พระองคม์ พี ระราชประสงคท์ จี่ ะ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของ ราษฎรให้ดีขึ้น ด้วยทรง มุ่งหวังให้ราษฎรสามารถ เลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืน
ชนมพรรษา วนั ท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ. 2499 พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรม ราชโองการประกาศให้เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีว่า ‘สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ’ นับว่าทรง เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ 2 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ และราชอาณาจักรไทย
พระราชกรณียกิจในฐานะสมเด็จพระบรม ราชินีนาถ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปทั่วทุกหนแห่งใน แผ่นดินไทยนี้ ไม่ว่าจะห่างไกลทุรกันดารเพียงใด ทำให้ทรงพบว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากใน ชนบทห่างไกลที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากไร้ จึงมี พระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตความ เป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ด้วยทรงมุ่งหวังให้ ราษฎรสามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ ทรงอุทิศพระองค์โดยการทรงงานตามแนวพระราช ดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช เพื่อให้ราษฎรหลุดพ้นจากความยากจน ด้วยการพระราชทานอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ในการ ทรงงานดงั กลา่ วทรงเรม่ิ ตน้ และทรงใชพ้ ระราชทรพั ย์ ส่วนพระองค์อยู่เป็นเวลานาน ต่อมาข้าราชบริพาร ได้รวบรวมมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินโดยเสด็จ พระราชกุศล นำเงินขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อก่อตั้ง มลู นธิ สิ ง่ เสรมิ ศลิ ปาชพี พเิ ศษ ในพระบรมราชนิ ปู ถมั ภ์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 ภายหลังได้ เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับเป็น ประธานกรรมการบริหารของมูลนิธิฯ และทรงงาน ศลิ ปาชพี มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อนั เปน็ การสง่ เสรมิ อาชพี ขณะเดยี วกนั ยงั อนรุ กั ษแ์ ละสง่ เสรมิ งานศลิ ปะพน้ื บา้ น ที่มีความงดงามหลายสาขา เช่น งานทอผ้าไหม ประเภทต่างๆ งานปักซอยแบบไทย การจักสาน ย่านลิเภา งานประดับปีกแมลงทับ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเอาพระราชหฤทัยใส่ในกิจการ ด้านสาธารณสุข โดยได้ทรงดำรงตำแหน่งสภา นายิกาสภากาชาดไทย และหากเสด็จฯ เยือน ต่างประเทศ ก็มักจะทรงถือโอกาสเสด็จฯ ไปทอด พระเนตรกิจการกาชาดของประเทศนั้นๆ เพื่อทรง นำมาปรับปรุงกิจการสภากาชาดไทยอยู่เสมอ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรชั กาลท่ี 9 ไดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระราชกรณยี กจิ เคยี งคู่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นระยะเวลาเกือบ 70 ปี จนกระทั่งพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จ สวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 แต่สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถก็ยังทรงฏิบัติ พระราชกรณียกิจเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อปวงชนชาวไทยสืบไป
สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ พระบรมราชนิ นี าถ ทรงปฏบิ ตั พระราชกรณยี กจิ เคยี งคู่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เปน็ ระยะเวลาเกอื บ 70 ปี