อรรถวุฒิ - อรณัฐ เตชะอุบล สองพี่น้องผูกพัน เล่าถึงชีวิตในลอนดอนและความรักในครอบครัว
เล่าถึงชีวิตในลอนดอนและความรักในครอบครัว
เจอร์รี่-อรรถวุฒิ และน้องสาว เจด้า-อรณัฐ เตชะอุบล ต่างใช้ชีวิตการศึกษาและการทำงานอยู่ที่ลอนดอน เป็นเวลานาน โดยเฉพาะคุณเจอร์รี่นั้นอยู่มานานถึง 17 ปแี ลว้ และขณะนเ้ี ขารบั หนา้ ทด่ี แู ลนอ้ งสาวคนเดยี ว ของครอบครัวในยามที่ยังศึกษาต่ออยู่ที่ลอนดอน
HELLO! ไปเยือนบ้านสีขาว 5 ชั้น หลังหัวมุม ที่อยู่ในทำเลที่ดีมากกลางกรุงลอนดอน คือหลังห้าง แฮร์รอดส์ เพียงแค่ถนนคั่นเท่านั้น ถือเป็นทำเลทอง ที่คุณเจอร์รี่เป็นผู้แนะนำให้คุณแม่ซื้อเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
“ผมเป็นคนพาคุณแม่มาเลือกซื้อ คุณแม่บอกว่า ช็อปปิ้งสบายเลย” คุณเจอร์รี่กล่าวหลังจากเราก้าว เข้าไปเยือนบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู “ตอนนั้น ซื้อไปประมาณ 14 ล้านปอนด์ ซื้อมาได้ประมาณ 1 - 2 เดือน ก็มีอาหรับมาเสนอราคาขอซื้อ 18 ล้าน แต่คุณพ่อบอกว่า ‘อย่าขาย เก็บไว้’ ที่จริงเรามีบ้าน อยู่ 2 ที่แล้ว ตรงเคนซิงตัน อันนั้นเป็นอพาร์ตเมนต์ คุณพ่อซื้อเผื่อไว้ในอนาคตมีลูกมีหลานก็มาอยู่ได้ ตอนนี้ผมกับน้องสาวอยู่เป็นหลัก นอกนั้นก็ไปๆ มาๆ”
บ้านสวยหลังนี้จึงมี 2 พี่น้อง อยู่ประจำเป็นหลัก คือ คุณเจอร์รี่ ลูกคนที่ 4 อายุ 24 ปี และคุณเจด้า ลูกคนที่ 6 อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องของ คุณอภิชัย และคุณชลิดา เตชะอุบล นักธุรกิจทางด้าน อาหารและอสังหาริมทรัพย์ ที่กำลังถ่ายทอดธุรกิจให้ ลูกๆ เข้ามารับช่วงต่ออย่างมีการวางแผน โดยส่งลูกๆ ทั้ง 6 คนมาเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก
“ผมเรียนบางกอกพัฒนา จนถึงอายุ 7 ขวบ คุณพ่อก็ส่งมาอังกฤษ มาเรียนที่ Summer Fields ที่ ออกซฟ์ อรด์ เปน็ โรงเรยี นประจำ สว่ นปรญิ ญาตรแี ละโท เรยี นท่ี UCL ผมจบมาเกอื บ 2 ปแี ลว้ คณุ พอ่ ใหป้ ระจำ อยู่ที่นี่เพื่อฝึกให้พร้อมทุกด้าน ดูแลตัวเองได้ มีความ รับผิดชอบสูงเพื่อเตรียมมาดูธุรกิจของครอบครัว ทั้ง บริษัท JCK International Public Company ที่มีคุณพ่อ เปน็ ประธานกรรมการบรหิ าร และบรษิ ทั อน่ื ๆ ทท่ี ำธรุ กจิ ทางดา้ นอสงั หารมิ ทรพั ย์ โรงแรม และรา้ นอาหาร
“ผมช่วยดูเรื่องนิคมอุตสาหกรรมให้คุณพ่อ มีอยู่
ที่นี่ 2 แห่ง เป็นโรงงานให้เช่า ซื้อมาประมาณ 4 - 5 ปี แล้ว มูลค่าประมาณ 30 กว่าล้านปอนด์ ที่เมืองไทย คุณพ่อก็ทำอยู่แล้ว คุณพ่อให้ผมมาช่วยดูเผื่อว่าจะมา ลงทุนที่นี่เพิ่ม”
ธรุ กจิ อาหารอนั เปน็ ทร่ี จู้ กั ดที เ่ี มอื งไทยคอื การนำเขา้ ร้านอาหารจากอังกฤษไปเปิดสาขาที่เมืองไทย เช่น Signor Sassi Burger & Lobster และยังเปิดร้าน สุกี้บุฟเฟต์อีกกว่าร้อยสาขาในชื่อ Hot Pot ซึ่งล่าสุด มาเปิดสาขาที่ลอนดอนด้วย ภายใต้การดูแลของ คุณเจอร์รี่
“Hot Pot ทน่ี อ่ี ยทู่ ไ่ี ชนา่ ทาวน์ คลา้ ยๆ กบั ทเ่ี มอื งไทย แต่เราทำให้พรีเมียมขึ้นมา Hot Pot ที่นี่ขายดีครับ รสชาตขิ องเราเปน็ ไทยเลยครบั ของบางอยา่ งกอ็ มิ พอรต์ มาจากเมืองไทย น้ำจิ้มก็คิดสูตรเอง น้ำจิ้มซีฟู้ดของ เราดังมาก คนไทยก็มากินเยอะมาก” คุณเจอร์รี่เล่า อย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากร้านนี้เขาเป็นผู้ดูแลด้วย ตัวเองทั้งหมด
“ถือเป็นธุรกิจแรกที่ผมบริหารด้วยตัวเอง ผมวางแผนเองเลยครับ และทำทุกอย่างคนเดียว
เลย ไปทำงานทุกวัน ออกบ้านสิบโมงเช้า กลับบ้าน ตีหนึ่ง ร้านเปิดตั้งแต่เที่ยงถึงห้าทุ่มทุกวัน ออฟฟิศ อยู่ชั้นบนของร้าน
“ถ้าเชฟขาดคนผมก็ต้องเข้าไปช่วย บางทีไป เป็นเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน กวาดร้าน ผมทำได้ทุกอย่าง ธรุ กจิ ของครอบครวั มหี ลายอยา่ งกต็ อ้ งมคี นมารบั ชว่ ง ดูแลต่อจากคุณพ่อ เราต้องช่วยๆ กัน”
ทำธุรกิจร้านอาหารที่ต่างประเทศยากไหม
“ยากครบั เพราะวา่ กฎหมายทน่ี ค่ี อ่ นขา้ งเขม้ งวด
‘ผมอยู่ที่ลอนดอนเป็นหลัก คุณพ่อวางตัวไว้ ผมชอบที่นี่ พอเรียนจบคุณพ่อก็ลองให้เริ่มทำธุรกิจเลย ลองผิดลองถูก จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ที่นี่ก็เหมือนบ้านหลังที่สองของผม’
ต้องศึกษาดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร และไม่ใช่แค่เรื่อง กฎหมาย แต่ยังมีเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม และทัศนคติในการทำงานของคนที่นี่ซึ่งไม่เหมือนกับที่ เมืองไทย ทำให้หาพนักงานอยู่ประจำยากมากเช่นกัน การเปิดร้านอาหารที่ลอนดอน ช่วยผมฝึกความอดทน บางคนอาจจะคิดว่าเปิดร้านอาหารเป็นสิ่งที่ทำได้ ง่ายๆ แต่ว่าผมได้เรียนรู้ว่าการเปิดร้านอาหารมันมี รายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก และต้องใส่ใจกับ ระบบของร้านอาหาร อีกทั้งการบริหารจัดการคน ก็สำคัญ
“ในการทำร้านอาหารเราต้องไปดูที่อื่นๆ ด้วย เพื่อ ไปดูคอนเซปต์ใหม่ๆ ร้านไหนขายดี เพราะอะไร ไปชิม ไปดูว่าเขาบริการยังไง ตกแต่งร้านยังไง เพื่อเอามา พัฒนาและปรับปรุงร้านของเราและตอนนี้เรากำลังจะ เปิดอีกร้านอาหารอีก 2 แห่งครับ” เขาพูดอย่างมุ่งมั่น ไฟแรง แต่ก็ยังถ่อมตัว
ตั้งเป้าหมายความสำเร็จไว้อย่างไร
“ผมคิดว่าต้องค่อยๆ ก้าวขึ้นไป ผมถือว่าประสบ ความสำเร็จในระดับหนึ่ง เป้าหมายที่ตั้งไว้คืออยาก เปิดร้านอาหารเพิ่มขึ้น ประมาณ 10 - 20 สาขา แล้ว ช่วยดูเรื่อง property เผื่อจะให้คุณพ่อมาทำอะไรต่อไป พี่ๆ ทุกคนจบการศึกษาระดับปริญญาโทกันหมดทุก คนแล้วและได้กลับไปรับช่วงธุรกิจที่เมืองไทยกันหมด จิมมี่ ดูร้านอาหาร โจดูเรื่อง Hot Pot และเจดูเรื่อง โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม เควินเพิ่งเรียนจบและได้ กลับไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ ผมอยู่ที่ลอนดอนเป็นหลัก คุณพ่อวางตัวไว้ ผมชอบที่นี่ พอเรียนจบคุณพ่อก็ลอง ให้เริ่มทำธุรกิจเลย ลองผิดลองถูกจนกระทั่งมาถึง ปัจจุบัน และที่นี่ก็เหมือนบ้านหลังที่สองของผม
เพราะผมอยู่ที่นี่มานานมาก และผมคิดว่าที่นี่เป็นที่ที่ น่าลงทุน มีโอกาสในการลงทุนเยอะ และเปิดโอกาส ให้ต่างชาติ แต่ต้องทำวีซ่าเป็น Investment Visa แล้ว จะทำธุรกิจอะไรก็ได้”
นอกจากจะดูแลธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจอื่นๆ ของครอบครัวแล้ว เขายังรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้ น้องสาวคนสุดท้องที่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ลอนดอน โดยเริ่มมาเรียนที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 11 ปี และเพิ่งจบ ไฮสคูลที่ Wycombe Abbey ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำที่ มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของอังกฤษ และกำลังจะเรียนต่อ ทางด้านกฎหมายที่ LSE
เธอให้เหตุผลที่เลือกเรียนทางด้านกฎหมายแทนที่ จะเป็นการบริหารธุรกิจว่า “การเรียนด้านกฎหมาย จะช่วยให้เราคิดอย่างเป็นระบบ คิดอย่างมีเหตุมีผล และมีการนำเอาแนวคิดมาประยุกต์ใช้ในการแก้ ปัญหา เจด้าชอบวิชากฎหมายเพราะคิดว่ามันท้าทาย และนิสัยส่วนตัวของเจด้าที่เป็นคนช่างคิดก็เลยคิดว่า วิชากฎหมายน่าจะตอบโจทย์ของตัวเองและยัง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงานอีกมากมาย ในอนาคตด้วย
“การเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวและการเป็น น้องสาวที่มีพี่ชายอีก 5 คน ใครๆ ก็ต่างคิดว่าเจด้า น่าจะเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง อยากได้อะไร ใครๆ ก็ต้องหามาให้ แต่ในความเป็นจริงการเป็น ลูกสาวคนเดียวทำให้เจด้าต้องบอกตัวเองเสมอว่า เจด้าต้องสามารถทำอะไรๆ ได้ทัดเทียมกับพี่ๆ ทุกคน เจด้าตั้งใจว่าเมื่อเรียนจบก็จะไปรับช่วงธุรกิจของ ครอบครัวเหมือนกับพี่ๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เจด้า เลือกเรียนด้านกฎหมายอีกด้วย และยังต้องขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่มากๆ ที่ท่านได้วางแผนชีวิตให้พวกเรา เป็นอย่างดี ท่านฝึกให้เราทำงาน เรียนรู้งานโดยผ่าน การทำงานของพวกท่าน เวลาท่านไปทำงานพวกลูกๆ ก็จะไปทำงานกับท่านด้วยเมื่อมีโอกาสกลับไป เมืองไทยช่วงปิดภาคเรียน
“การที่ท่านส่งเรามาเรียนที่ต่างประเทศก็เพราะ ท่านต้องการให้เราได้ฝึกช่วยเหลือตัวเองและมีความ รับผิดชอบต่อตัวเอง เจด้าและพี่ๆ ทุกคนต้องทำงาน เองทุกอย่าง การที่เราต้องอยู่ที่นี่ทำให้เราเรียนรู้การใช้ ชีวิตจริงๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านส่งพวกเรามาเรียน ที่ต่างประเทศก็เพราะท่านต้องการให้เราเป็นคนที่มี วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเห็นโลกที่กว้างออกไป มีเพื่อนฝูงมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นได้รู้จักเพื่อนที่มี วัฒนธรรมที่ต่างจากเรา ซึ่งเจด้าก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็น เรื่องที่สำคัญด้วย พอถึงช่วงปิดเทอม เจด้ามักจะชวน เพื่อนไปเที่ยวบ้านเจด้าที่เมืองไทย เจด้าอยากให้ เพื่อนต่างชาติได้มาเห็นเมืองไทย มาเรียนรู้วัฒนธรรม ไทย ซึ่งเจด้าภูมิใจในความเป็นคนไทยมากและอยาก เผยแพร่ความภูมิใจนี้ออกไป ที่เจด้าทำได้ก็เริ่มต้น จากบอกเพื่อนๆ นี่แหละค่ะ” คุณเจด้าเล่าถึงประสบการณ์ประทับใจที่
เมืองไทยที่สอนให้เธอรู้ถึงคุณค่าของชีวิต
“ครั้งหนึ่งช่วงปิดเทอมเจด้าและเพื่อนๆ เคยไป เป็นอาสาสมัคร boi boi ไปเยี่ยมเด็กๆ ที่โรงเรียน ในอำเภอแม่สอด ไปช่วยเหลือเขา ซึ่งเป็นช่วง คริสต์มาสพอดี พวกเราไปช่วยจัดปาร์ตี้คริสต์มาส ซื้อของขวัญไปให้เด็กๆ ที่โรงเรียนตาบอด ไปช่วย สอนหนังสือ อ่านหนังสือให้ฟัง และเจด้าก็ยังเป็น อาสาสมัครให้กับโรงเรียนคนตาบอดที่พัทยาด้วย
“พอเห็นคนที่ด้อยโอกาส ก็อยากทำให้เขารู้สึก ว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กด้อยโอกาส และอยากทำให้ พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า อยากให้คิดบวก คิดใน แง่ดี”
คุณเจอร์รี่กล่าวเสริมว่า “ที่ร้านผม เวลากลับ บ้านดึก ส่วนใหญ่จะมีขอทานอยู่แถวทางเดินที่ หน้าร้าน ผมก็เอาอาหารในร้านเราให้เขา บางทีก็ ให้เชฟทำอะไรง่ายๆ ให้ พอรู้เขาก็มานั่งรอ มีหลาย คนเหมือนกัน แต่ก็เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ”
ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ความใกล้ชิดในครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่เห็นได้ ชัดเจนจากครอบครัวนี้ แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะหา เวลาพร้อมหน้าพร้อมตาครบทั้ง 8 คน แต่อย่าง น้อยปีละครั้งที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องใช้เวลา ร่วมกัน
“เราเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมาก” คุณเจด้า กล่าว “ซึ่งมันยากมากที่จะไปไหนด้วยกันให้ครบ ทุกคน ทั้ง 8 คน เพราะทุกคนก็ยุ่ง สิ่งที่ดีที่สุดคือ เราก็หาเวลาให้กัน ช่วงปีใหม่เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่เมืองไทยพวกเราก็จะกินข้าวด้วยกัน หรือ ถ้าไปต่างประเทศพวกเราก็จะไปไหว้พระ ทำบุญ และหาอะไรกินกัน
“ส่วนใหญ่ตอนซัมเมอร์ ทุกคนจะมาอังกฤษ แล้วไปเที่ยวแถวยุโรปกันเป็นครอบครัวใหญ่สนุก มากเลยค่ะ เราพี่น้องรักกัน
“เจด้าว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการ เติบโต คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเรามาอย่างอบอุ่นที่สุด เราไม่เคยรู้สึกว่าเราขาดเหลืออะไร แต่ไม่ใช่ในแนว ที่อยากได้อะไรก็ได้ แต่เป็นแนวที่เขาใส่ใจ ไม่ว่า เรามีปัญหาอะไร เจด้ามีความรู้สึกว่าปรึกษาใคร ก็ได้ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ หรือคุณพ่อ คุณแม่
เจด้ารู้สึกว่าเขาอยู่เคียงข้างเจด้าตลอด”
คุณเจอร์รี่กล่าวว่า “เราชิลล์ๆ ง่ายๆ คุณพ่อ คณุ แมส่ อนมาตั้งแต่เด็กว่า เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัว มา ชอบเล่าเรื่องสมัยก่อนไม่มีอะไร ลำบาก ให้้เราเห็นค่าของเงิน รู้จักใช้เงิน รู้จักใช้แล้วต้อง รู้จักหาด้วย คุณพ่อพูดตลอดเลยว่า ไม่ใช่รู้จักใช้ อย่างเดียว”
“ใช่ค่ะ” เจด้าเห็นพ้องกับพี่ชาย “และต้องมี หลักของความอยาก คืออยากได้อะไรก็ต้อง หามา”
ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นแบบของ สองพี่น้องนี้คือใคร ทั้งสองตอบพร้อมกันว่าพ่อแม่ “ใช่ครับ คุณแม่ก็ช่วยซัพพอร์ตคุณพ่อมาตลอด เป็นกำลังใจ และช่วยดูแลบ้าน เลี้ยงเรามาตั้งแต่ เด็กๆ ตอนเด็กๆ ไม่เคยทิ้งไว้ให้อยู่กับพี่เลี้ยง แต่ เขาจะดูแลเองตลอด ไปรับไปส่ง”
เจด้ากล่าวว่า “ตอนอยู่ที่นี่คุณแม่เขาก็คอย เช็กว่าโอเคไหม คุณแม่ก็บินมาบ่อย มาดูว่าเป็น อย่างไรบ้าง เป็นห่วงตลอด”
ใครคือเสียงเด็ดขาดสุดท้าย “คุณพ่อ จบที่ คุณพ่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” คุณเจอร์รี่ตอบทันที
“คุณพ่อก็ฟังคุณแม่มา” คุณเจด้าสรุปแล้วทั้งคู่ ก็หัวเราะพร้อมกัน
มาเยี่ยมบ้านนี้แล้วได้สัมผัสชัดเจนถึงความรัก ความอบอุ่นของพี่น้อง ที่ให้ความสำคัญต่อ ครอบครัวเป็นที่สุด
‘คุณพ่อคุณแม่สอนมาตั้งแต่เด็ก ว่าเขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวมา ชอบเล่าเรื่องสมัยก่อนไม่มีอะไร ลำบาก ให้เห็นค่าของเงิน รู้จักใช้เงิน รู้จักใช้แล้วต้องรู้จักหาด้วย’