ศรณั ยู - ศภุ รา วงษก์ ระจา่ ง คณุ พอ่ สดุ หลอ่ เปดิ ใจกวา้ งยอมใหล้ กู ลองทกุ อยา่ ง ยกเวน้ เรอ่ื ง ‘ขบั รถ’
คุณพ่อสุดหล่อเปิดใจกว้างยอมให้ลูกลองทุกอย่าง ยกเว้นเรื่อง ‘ขับรถ’
ในบรรดาคนบันเทิง ดูเหมือนว่าครอบครัววงษ์กระจ่าง เป็นครอบครัวที่มักจะถูกพูดถึงว่า นอกจากจะหน้าตา ดีกันทุกคนแล้ว ไล่เรียงมาตั้งแต่คุณพ่อตั้ว-ศรัณยู ศิลปินนักแสดงและผู้กำกับอิสระที่กำลังจะมีผลงาน กำกับละครเรื่อง ปาฏิหาริย์กาลเวลา ทางช่อง PPTV และคุณแม่เปิ้ล ดีเจคนดังแห่งคลื่น 88.5 เรื่อยมาจนถึง สองสาวคู่แฝดน้องหนุน-ศุภรา และน้องหนัง-ศีตลา ซึ่ง ปัจจุบันกำลังเป็นสาวสวยสะพรั่ง ทั้งสี่ชีวิตนี้ยังมี ประวัติการเรียนที่น่าสนใจ คุณตั้วเองก็จบสถาปัตย์ จุฬาฯ คุณเปิ้ลจบจากอังกฤษ และเผลอไม่ทันไรทั้ง น้องหนุนและน้องหนังก็ใกล้จะเรียนจบปริญญาตรีกัน ในเร็ววันนี้อยู่แล้ว
น้องหนุนนั้นกำลังจะขึ้นปี 4 ทางด้านวิชาการแสดง ขับร้อง วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต ส่วน น้องหนังขณะนี้ก็ใกล้จบจาก Ewha Womans University ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากน้องหนังยังคงอยู่เกาหลี เราจึงนัดพบคุณตั้ว และน้องหนุนที่นี่ เพื่อจะพูดคุยประสาพ่อ-ลูก ซึ่งทั้งคู่ เพิ่งกลับจากเกาะสมุย แต่โดยมากครอบครัวนี้มักจะไป เที่ยวเคานต์ดาวน์ในช่วงวันหยุดปีใหม่ และในวันเกิด ของลูกแฝดอยู่แล้ว
“เดย๋ี วนพ้ี อลกู ๆ โตขน้ึ เขาเรยี นสงู ขน้ึ มภี ารกจิ สว่ นตวั มากขึ้น ทำให้เหลือเวลาเที่ยวกับครอบครัวแค่ไม่กี่วัน เมื่อก่อนเราจะไปทะเลช่วงปีใหม่และวันเกิดหนุนหนัง แต่พอเขาโตขึ้นก็เบื่อทะเล บางทีก็เลยจะพาหนุนไปหา หนังที่ต่างประเทศบ้าง อเมริกาบ้าง บางทีก็ฮ่องกง แต่ หลังๆ มานี้เขาชอบญี่ปุ่นทั้งคู่ อย่างปีใหม่เราจะรู้ กันว่าต้องเคานต์ดาวน์ด้วยกัน นี่ก็แพลนว่าจะไป ญี่ปุ่นกันอีกครั้ง” คุณพ่อสุดหล่อกล่าว
ให้ลูกสุขกับชีวิต
คุณพ่อตั้วบอกเราว่า สิ่งที่เขาเน้นเสมอมา ตลอดชั่วชีวิตที่มีลูก ก็คือการให้ลูกได้มีความสุข กับชีวิต ไม่เร่งรัดลูกในเรื่องการเรียน “ตอนเขายัง เด็กเราเลยพยายามให้เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ ให้มากที่สุด จะได้เลือกว่าชอบอะไร เพราะเขาผ่าน มาหมดแล้ว พอเขาโตขึ้นถึงค่อยแยกแยะเองว่า อันไหนชอบไม่ชอบ”
“ตอนเด็กๆ ช่วงหลังเลิกเรียนกับเสาร์อาทิตย์ หนนุ กบั หนงั จำไดว้ า่ ไมเ่ คยอยบู่ า้ นเลยคะ่ ” นอ้ งหนนุ ช่วยเสริม “เรียนเยอะมากจริงๆ จนบางทีหนูก็ไม่ เขา้ ใจ (หวั เราะ) ตง้ั แตเ่ ปยี โน ไวโอลนิ กลอง ขบั รอ้ ง ยิมนาสติก บัลเลต์ ว่ายน้ำ ไอซ์สเกต ขี่ม้า วาดรูป เทนนิส แล้วก็เหมือนเป็นพื้นฐานด้วยมั้งคะ เพราะ เราเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด เหมือนเราเท้าบิด เข้าในทั้งคู่ ต้องใส่รองเท้าดัดเท้า หมอแนะนำว่าให้ เรียนบัลเลต์จะได้ดีขึ้น ก็เรียนเอาจริงเอาจังมาก จนอีกไม่นานจะได้ใบประกาศนียบัตรแล้วกลับเลิก กะทันหัน เพราะเราดันติดลมกับการเล่นเทนนิส”
“แต่พอเขาต้องไปแข่ง ปรากฏว่าลูกผมไม่สนุก กับการฝึกให้มีวิญญาณเพชรฆาต ต้องทำคะแนน เพื่อเอาชนะเอาเสียเลย ลูกผมกลับสงสารคู่ต่อสู้ เขาก็เริ่มกดดันไม่อยากเล่นแล้ว หนุนก็เลยหันมา เอาดีทางดนตรีและการเต้น หลังจบจากโรงเรียน นานาชาติร่วมฤดีในช่วง Gap Year เขาก็ไปเทค คอร์สการเต้นที่นิวยอร์กอยู่ 6 เดือน ตอนแรกคิดว่า จะเอาจริงทางด้านนั้นแล้ว เพราะเขาชอบมาก แต่ พอจบกลับมาบอกว่าไม่ใช่ ผมก็เลยพยายามคุย กับเขาว่าเปียโนไหม ที่บ้านก็มี ลองเล่นดูไหม ก็ พบว่าเขามีความสุขกับตรงนี้ ก็เลยหาว่าที่ไหน เหมาะกับตัวเขา ก็ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยรังสิต มีหลักสูตรที่เขาต้องการทางด้าน Theatre Performance ซึ่งมีทั้งการแสดง ดนตรี ละครเวทีที่ เป็นมิวสิคัล แล้วเขาก็เลือกเอกขับร้อง
“ส่วนน้องหนังคุณย่าคุณยายอยากให้ลองเข้า จุฬาฯ ก็เลยไปสอบติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แต่เรียนได้ปีหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เขาก็ เตรียมการว่าจะไปจีน แต่ระหว่างนั้นเขาไปเจอ Ewha Womans University ที่โซล ก็ไปหาข้อมูลเอง แล้วสมัครไป ทางมหาวิทยาลัยตอบรับ ก็เลยไป เกาหลี”
แฝดสองต้องเบิ้ล
ประสาคุณพ่อมือใหม่ การเลี้ยงลูกเพียงแค่คน เดียวก็นับว่าสาหัสสากรรจ์พอสมควรแล้ว เพราะ ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอะเจอ ไหน จะต้องคอยระแวดระวังเวลาอุ้มด้วยกลัวจะหล่น มือ ไหนจะการรับมือเวลาลูกร้องไห้ อีกทั้งยังต้อง คอยดูแลให้ลูกเติบโตเป็นอย่างดี แล้วกับการเลี้ยง ลูกแฝดสำหรับคุณตั้วที่ทุกอย่างต้องคูณสอง เขา ต้องเหนื่อยหนักขนาดไหน
“เหนื่อยตรงที่ทุกอย่างต้องเบิ้ล บางทีโชคดี หน่อยเขาหลับพร้อมกัน แต่บางทีคนหนึ่งหลับ อีก คนตื่นร้องไห้ คนนี้ไม่ยอมหลับ ต้องคอยอุ้มอีกคน
‘ตอนเด็กๆ ช่วงหลังเลิกเรียน กับเสาร์อาทิตย์ หนุนกับหนัง จำได้ว่าไม่เคยอยู่บ้านเลยค่ะ เรียนเยอะมากจริงๆ จนบางที หนูก็ไม่เข้าใจ’
‘เพิ่งมาปีสองปีนี้เอง ที่เริ่มคิดว่าเราน่าจะมี ลูกอีกคน เพราะ หนุนหนังก็โตแล้ว แต่มันก็ช้าไปแล้ว’
มีอยู่วันหนึ่งผมเลยใช้วิธีขับรถ รู้สึก จะเป็นน้องหนุนนะ เขาไม่หลับผม ก็เลยขับรถพาเขาวนเพื่อให้เขาหลับ สบายในรถ ความยากลำบากจะ เปน็ แบบน้ี พอผา่ นมาไดก้ ด็ ที เ่ี ขาเกดิ พรอ้ มกนั จะไดม้ เี พอ่ื น ซง่ึ ถา้ ไมใ่ ชล่ กู แฝด ผมก็ต้องมีคนที่สองอีกไม่ห่าง เกนิ ปอี ยดู่ ี เพอ่ื ใหเ้ ขามเี พอ่ื น”
หลงั จากสนกุ กบั การเลย้ี งลกู แฝด สาวแล้ว คุณพ่อตั้วเคยคิดจะมี ลูกชายอีกสักคนไหม เพื่อให้เป็น บดั ดข้ี องพอ่ “ผมไมเ่ คยคดิ วา่ จะตอ้ ง มีลูกสาวหรือลูกชาย แค่รู้ว่าเป็นลูก แฝดก็พอแล้ว เพราะการเลี้ยงเด็ก สองคนในเวลาเดียวกันก็หนักหนา เอาการอยู่ ผมกบั เปล้ิ กเ็ ลยคดิ วา่ เรา เลย้ี งหนนุ หนงั ใหด้ ดี กี วา่ เกรงวา่ ถา้ มี อีกคนเดี๋ยวเราเลี้ยงเขาได้ไม่ดีพอ แลว้ จะกลายเปน็ ปญั หา ซง่ึ ตอนนน้ั ก็ มผี หู้ ลกั ผใู้ หญห่ ลายทา่ นบอกวา่ ใหม้ ี อีกสักคน...เชื่อพี่ ซึ่งผมกับเปิ้ลก็ไม่ เคยเชอ่ื
“เพิ่งมาปีสองปีนี้เองที่เริ่มคิดว่า เรานา่ จะมลี กู อกี คน เพราะหนนุ หนงั ก็โตแล้ว และเราพร้อมที่จะดูแล เดก็ ออ่ นไดอ้ กี แตม่ นั กช็ า้ ไปแลว้ ซง่ึ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ได้คิดว่าเสียดาย เพราะฉะนั้นถามว่าคิดอยากมี ลูกชายไหม ไม่ได้คิด แต่คิดว่าถ้ามี ลกู อกี สกั คนกไ็ มเ่ ลวแคน่ น้ั เอง”
สำหรับความเชื่อว่าฝาแฝดนั้นมี ความรู้สึกผูกพัน แม้กายจะห่าง แต่ เมื่อใดที่คนหนึ่งกำลังรู้สึกอย่างไร อยู่ อีกคนจะรู้สึกด้วย น้องหนุน บอกเราทันทีว่า “หนูว่าจริงนะคะ แต่ไม่รู้ว่าฝาแฝดคู่อื่นเป็นหรือเปล่า อย่างเราสองคนเคยเรียนห้อง เดียวกัน แล้วอยู่ดีๆ ก็ยกมือขอ อนุญาตครูไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน เพื่อนในห้องก็ขำ จะรู้สึกแบบนี้ พร้อมกันบ่อย เช่น หิว เศร้า แต่มา จากสาเหตุคนละเรื่อง แต่มันจะ ประจวบเหมาะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน อะไรแบบนี้ค่ะ ก็ยังคุยขำๆ กันเลย ว่า ที่เขาบอกว่าผูกพันกันน่าจะจริง แต่ตอนนี้หนังไปเรียนเกาหลีก็เลย ไม่ค่อยได้ไถ่ถามว่าตอนนี้รู้สึก อย่างไรอีกมั้ย แม้จะคุยกันตลอด เพราะหนังก็ยุ่ง”
“สองคนนี้รักกันมากนะครับ” คุณพ่อตั้วยืนยัน “และผมดีใจที่เขา รักกัน พอโตขึ้นก็อาจมีทะเลาะกัน บ้าง คนนั้นแย่งของคนนี้ เอาเสื้อ คนนั้นไปใส่ ทำไมคนนี้ไม่เก็บที่นอน แต่ทุกครั้งที่ใครมีปัญหา อีกคนหนึ่ง จะออกรับแทนเสมอ แล้วถ้าคนหนึ่ง ไปทะเลาะกับเพื่อน อีกคนจะไปเอา เรื่องแทน เขาสองคนจะรักและ
เป็นห่วงเป็นใยกันมาก แล้วก็มีน้ำใจให้กันและกัน ตลอด ตรงนี้ผมจึงรู้สึกดีว่าเราเลี้ยงเขามาถูกทาง แล้ว เขามีความรักและความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มี น้ำใจโอบอ้อมอารีให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก หรือคนเฒ่าคนแก่ เดินผ่านขอทานก็จะเอาตังค์ให้ ชอบทำบุญ ทำให้เราในฐานะพ่อรู้สึกว่า เราให้ภูมิ ต้านทานเขาเต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรจะประทับใจ ผมได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว” นอกจากนี้คุณตั้วยังบอกอีกว่าลูกๆ รัก สัตว์มาก ตอนที่สุนัขตัวแรกที่เขามอบให้ สองสาวเลี้ยงตั้งแต่เล็กป่วยตาย ทั้งคู่ ร้องไห้และนำสุนัขไปฝังในสวน แล้วเขียน การ์ดว่าชาติหน้าให้มาอยู่ด้วยกันอีกนะ ส่วนน้องหนังจะอ่อนไหวกับสิ่งของใกล้ชิด อย่างตอนที่รถซีอาร์วี ที่เธอชอบเดินข้าม ไปมาระหว่างเบาะหน้าเบาะหลังของรถ แล้วครอบครัวจะเปลี่ยนคันใหม่เพราะ คันเดิมเริ่มคับแคบ น้องหนังถึงกับเกาะ รถร้องไห้เป็นวันเป็นคืนเลยทีเดียว “พอโตขึ้นหนุนจะร้องไห้เวลามีเรื่อง
‘พ่อสอนแล้วเรายังไม่เข้าใจ ตอบไม่ได้ จนเขาโมโหมาก ก็เลยเขวี้ยงสมุด เราสองคนร้องไห้กระหน่ำ ตั้งแต่นั้นมาแม่เลยพาเราไป เรียนพิเศษ บอกว่าพี่ตั้ว ไม่ต้องสอนแล้ว’
กระทบใจเกี่ยวกับเพื่อน เช่น รู้สึกว่าเพื่อนโกรธเขา หรือทำแล้วเพื่อนจะเสียใจ หนุนจะเป็นเยอะ เครียด เรื่องเพื่อนอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนน้องหนังจะร้องไห้ เวลาอันนั้นพังอันนี้พัง แต่ตอนนี้น้อยลงแล้วครับ หนุนจะต่างจากน้องนิดหนึ่งตรงที่เวลาเขาจะทำอะไร เขาคิดก่อน ก่อนจะทำอะไรสักอย่างคิดแล้วคิดอีก มี ความสุขุมกว่า บางทีต้องบอกว่าอย่าคิดมาก ส่วน หนังจะสดใส ง่ายๆ สบายๆ มีกิจกรรมกับเพื่อนชุดนั้น ชุดนี้บ่อยๆ แล้วมักจะมาเล่าให้ผมฟังตลอด”
วีรกรรมของสองสาว
สิ่งที่น้องหนุนห่วงคุณพ่อตั้วมาตลอดก็คือ เรื่อง ความเครียด เพราะแม้จะเป็นคุณพ่อสุดหล่อใจดีของ ลูกก็จริง แต่ด้วยความเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ของ คุณตั้ว ทำให้บางทีเครียดและอารมณ์ร้อนฉ่า
“ห่วงพ่อเรื่องความเครียดค่ะ เพราะพ่อทำงาน หนักอยู่แล้ว บางทีกลัวพ่อจะเครียดไป เพราะอาจจะ อยากให้งานออกมาดี แต่ไม่ได้ดั่งใจ มาระยะหลังๆ ที่ เริ่มหายห่วง เพราะเขาเริ่มใจเย็นลง บางทีก็อยาก บอกพ่อว่าให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องโมโหทุกเรื่อง ซึ่งหลังๆ เขาก็เริ่มดีขึ้น อารมณ์ร้อนน้อยลงแล้ว
“หนุนหนังเคยเจอพ่ออารมณ์ร้อนครั้งหนึ่งตอนที่ เรายังเด็ก ตอนนั้นเราไม่เข้าใจคณิตศาสตร์หรือ วิทยาศาสตร์นี่แหละค่ะ หนูกับหนังก็เลยนั่งติวกับพ่อ แต่พ่อสอนแล้วเราก็ยังไม่เข้าใจตอบไม่ได้ เป็นแบบนี้ จนเขาโมโหมาก คงคิดว่าโจทย์ง่ายแค่นี้ทำไมตอบไม่ ได้ ก็เลยเขวี้ยงสมุด เราสองคนเลยร้องไห้กระหน่ำ ตั้งแต่นั้นมาแม่เลยพาเราไปเรียนพิเศษ บอกว่าพี่ตั้ว ไม่ต้องสอนแล้ว (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้นก็ไม่เกิด เหตุการณ์แบบนั้นอีกแล้ว”
เมื่อโตขึ้นแม้เรื่องความดุจะลดน้อยลงแล้ว แต่ก็มี อีกเรื่องหนึ่งที่คุณตั้วต้องคอยกำชับลูกสาวทั้งสองมา โดยตลอด นั่นคือเรื่องการเข้าสังคม
“ผมคุยเรื่องนี้กับลูกมาโดยตลอดเลย แล้วเขาก็รู้ ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี คืออย่างน้อยเขารู้ว่าเหล้าไม่ดียังไง บุหรี่ไม่ดียังไง ยาเสพติดไม่ดียังไง ถ้าเขาไปเจอ บรรยากาศในสังคมที่ต้องดื่มนิดหน่อย เขาจะมาบอก เรา อย่างเช่น น้องหนังไปงานแล้วต้องดื่มพวกพันช์ หรือเหล้าหวานกลับมามึนหัว เราก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้ พร้อมกับสอนเขาไปด้วย เขาก็รู้ คือเราไม่ได้เลี้ยงเขา แบบห้ามเด็ดขาด แต่ให้เขามีเหตุมีผลที่จะตัดสินใจได้ เองว่าอะไรเป็นอะไร”
กระนั้นก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คุณตั้วถึงกับขับ รถไปรับตัวสองสาวกลับบ้านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวตอน กลางดึก น้องหนุนเล่าถึงเรื่องราววันนั้นให้เราฟังว่า
“ตอนนั้นหนูกับหนังไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน แล้วจาก นั้นเพื่อนๆ จะพากันไปต่อที่ผับกับรุ่นพี่ที่ร่วมฤดี หนูรู้ อยู่แล้วละว่าพ่อคงไม่อนุญาต เพราะตอนนั้นอายุเรา ยังไม่ถึง แต่ว่าหนุนกับหนังอยากไป เคยถามพ่อก่อน หน้านี้พ่อก็ไม่อนุญาตเลย พวกเราเลยตัดสินใจแอบ ไปกัน เพราะรุ่นเราไปกันเยอะ แล้วเหมือนไม่รู้ว่าพ่อ ทราบได้อย่างไร ขับรถมาเลยค่ะ เรากำลังเต้นๆ อยู่ สักพัก ไม่ได้ดื่ม จู่ๆ เพื่อนก็มาสะกิดบอกว่าหนุนๆ นั่นพ่อหรือเปล่า เราสองคนก็ตกใจมาก...หา...อะไรนะ (หัวเราะ) แล้วก็ถูกพ่อลากตัวออกมาเลย
“จำได้ว่าพอถึงบ้านก็นั่งประชุมเลย พ่อบอกว่าที่ ห้ามเพราะอายุเรายังไม่ถึง แล้วสมมติว่ามีเหตุการณ์ ร้ายแรงขึ้นมาจะทำอย่างไร เขาบอกว่าถ้าอายุถึงแล้ว สิ เขาจะไม่ห้ามเลย ก็โดนอบรมเสียยกใหญ่ แค่นี้เรา ก็กลัวแล้วละค่ะ” เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะเบาๆ
สิ่งสุดท้ายที่จะสอน...ขับรถ
ความสามารถเรื่องขับรถอาจเป็นทักษะที่ไม่ได้ ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่ก็สามารถสอนกันได้เมื่อถึง วัยอันสมควร ทว่าคุณตั้วกลับเลือกที่จะพิจารณาเรื่อง นี้อย่างรอบคอบเสียก่อนจะสอนให้สองสาวขับรถ
“ผมพูดกับเขาว่าถ้าไม่มีความจำเป็นหรือตั้งใจ ที่จะขับรถจริงๆ ผมจะไม่สอน เพราะการขับรถเป็น กิจกรรมที่อันตรายถึงชีวิตเลยนะ เป็นเรื่องที่ประมาท ไม่ได้ ถ้าเห็นเพื่อนขับแล้วเราอยากขับ อย่างนี้ไม่เอา เพราะมันสุ่มเสี่ยงที่จะขับรถเพลิดเพลินสนุกกับเพื่อน จนลืมตัว แต่ผมจะสอนให้เขาแน่เมื่อไรที่เขาสามารถ ตอบผมได้ว่าเขาอยากขับรถเป็น แล้วมีสติพอที่จะ ตั้งใจฝึก และรู้ว่านี่คือพาหนะที่ถ้าเราพลั้งพลาด เผลอเรอ เราชุ่ย หรือไม่มีสมาธิ มันอาจเป็นอันตราย ถึงชีวิต ถ้าเขาพร้อมอย่างนั้น ผมถึงจะสอน แต่เด็ก สองคนนี้เขาโตมาโดยที่เราขับรถไปรับไปส่งเขาตลอด เวลา มีคนขับรถที่สนิทกับครอบครัว พอโตขึ้นไปไหน เองได้เขาก็ถนัดขึ้นรถไฟฟ้าที่มันคล่องตัว”
น้องหนุนขอพูดบ้างว่า “หนูเคยขับรถแม่แต่อยู่แค่ ในหมู่บ้านนะคะ โดยมีแม่นั่งไปด้วย แล้วแม่ก็บอกว่า เธอลงไปเลยไม่ต้องขับแล้ว เพราะหนูขับเร็วมาก (หัวเราะ) คือเพื่อนหนูขับรถเร็วทุกคน หนูก็เลยติด พ่อ เคยบอกว่าถ้าอยากเรียนขับรถให้ไปเรียนกับพ่อ แต่ หนูคิดว่าจะไปเรียนที่โรงเรียน เพราะหนูเคยคุยกับแม่ แม่บอกว่าไปเรียนที่โรงเรียนเถอะ แม่ไม่ห้าม แต่ก็ อย่างที่พ่อบอกว่า พ่อกลัวอุบัติเหตุ แล้วก็ชอบบอกว่า หนุนกับหนังยังเด็กไป ที่หนูอยากขับรถเป็นก็ไม่ใช่ อะไร เป็นเพราะช่วงหลังๆ หนูไปไหนมาไหนกับแม่ บ่อย แล้วแม่บ่นว่าเหนื่อย หนูจะได้ขับรถให้แม่นั่ง”
อดีตตำนานละครถาปัตย์
ใครที่เป็นแฟนละครสถาปัตย์ จุฬาฯ คงไม่มีใครที่ ไม่รู้จักชื่อศรัณยู วงษ์กระจ่าง อดีตพระเอกละครที่มี ใบหน้าหล่อเหลาและเป็นหนึ่งในนักแสดงอาชีพที่มี คาแร็กเตอร์โดดเด่นจนกลายเป็นตำนาน กระทั่งบัดนี้ พ่วงดีกรีผู้กำกับการแสดงด้วยอีกอย่าง เราจึงถาม น้องหนุนว่าเธอทราบเรื่องราวนี้เกี่ยวกับคุณพ่อของ เธอเองไหม น้องหนุนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มหวาน ที่ถอดแบบจากคุณพ่อมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“หนูเคยเซิร์ชชื่อพ่อในกูเกิล เห็นรูปพ่อตอนหนุ่มๆ แล้วรู้สึกว่าสมัยนั้นพ่อหล่อจัง และทุกคนเวลาเจอหนู ชอบพูดว่าพ่อหล่อมาก แต่หนูโตมาตอนที่พ่ออายุมาก ขึ้นแล้วไม่เหมือนสมัยก่อน แล้วหนูก็ไม่ค่อยได้ดูละคร ที่พ่อเล่นหรือกำกับเลยนะคะ ตอนเด็กๆ เล็กมากๆ อาจเคยดูบ้าง แล้วพอหนูโตขึ้นก็ทันได้ดูแค่บางเรื่อง อย่างพวกละครเวที เพราะช่วงหลังๆ มานี้พ่อหันมา ทำงานเบื้องหลังมากกว่า”
“ผมเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องอดีตให้เขาฟังเลย เขาไป ฟังจากคนอื่นเอา แล้วก็จะมาบอกพ่อว่า แม่เพื่อนหนู ชอบพ่อมากเลยอย่างโน้นอย่างนี้ พอเขามาพูดแบบ นั้นผมถึงได้เล่าให้เขาฟัง ซึ่งตอนเขายังเด็กผมกำลัง อยู่ในช่วงเล่นละคร เขาได้ไปหาผมที่กองถ่าย เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา”
แล้วเขาเคยบอกไหมว่าอยากร่วมงานกับคุณพ่อ เราถามต่อ “เรื่องนี้เราพูดกันเยอะ มีบางช่วงที่มีคนมา ชวนเขาทำนั่นทำนี่ แล้วเขามาขอผม เราก็พูดกับเขา ว่าเรื่องนี้เป็นงานอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบ อย่า อาศัยความเป็นเด็กที่ทุกคนต้องเอ็นดู เป็นลูกพี่ตั้ว แล้วทุกคนต้องคอยเอาอกเอาใจแบบนี้ไม่เอาเด็ดขาด ถ้าจะทำต้องทำเพราะมันเป็นงาน มีความรับผิดชอบ ร่วมกับคนอื่น เพราะความผิดพลาดของเรามันมีผล แต่เมื่อไรที่ถึงวันที่เขาตัดสินใจว่าอยากทำ เราไม่ห้าม แต่ไม่ใช่มีคนมาชวนแล้วไปเฉยๆ แบบนี้ไม่เอา”
เราหันมาถามน้องหนุน เธอยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะบอก ว่า “หนูกลัวไม่กล้าทำงานกับพ่อ เพราะถ้าเล่นไม่ได้ เดี๋ยวพ่อดุว่าทำไมเล่นไม่ได้ หนูคิดว่าตัวหนูเองยังต้อง ฝึกอีกเยอะ เพราะพ่อทำงานละเอียด เขาเป็นมิสเตอร์ เพอร์เฟกต์ เพื่อนๆ คุณพ่อก็พูดแบบเดียวกันนี้”
เพศตรงข้าม
สำหรับเรื่องราวน่าหนักใจของวัยรุ่น ที่สุดแล้วคง หนีไม่พ้นเรื่องราวของเพศตรงข้าม ซึ่งคนเป็นพ่อเป็น แม่คงอดเป็นห่วงไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกสาว
“เราอาศัยการเลี้ยงดูเขาอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งแต่ ตอนแรกเกิดจนถึง 10 ขวบ พ่อแม่ป้อนข้าวเอง พาไป ทำกิจกรรมเอง ทำอะไรเอง ซึ่งเราปลูกฝังเรื่องนี้ให้เขา มีจริยธรรม
มีศีลธรรม มีความคิดดี
ไม่ฝากให้คนอื่นเลี้ยง ไม่มี ฉะนั้นเมื่อเขาโต
ขึ้น เขาจะรู้ว่าเราเป็นคนที่รักและดูแลเขา ห่วงใยเขา มากที่สุด สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขาได้ เพราะ ฉะนั้นทุกครั้งที่เขามีปัญหา หรือเจออะไรใหม่ๆ เขาจะ กลับมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง ทุกครั้งที่พ่อแม่เตือน คุย หรือ อธิบายเรื่องใหม่ๆ ให้เขาฟัง เขาก็เข้าใจ ผมจึงไม่ค่อย กังวล
“เรื่องมีคนมาจีบก็มีตามวัย ชอบคนนั้น ไลน์คุยกับ คนนี้ ก็มีเป็นช่วงๆ ซึ่งเขาจะมาบอกผมว่าคนนี้คุยกับ หนุนบ่อยๆ หนุนชอบคุยกับคนนี้ ไม่มีการไปเจอคน นั้นคนนี้ตามลำพัง ทุกอย่างอยู่ในสายตาเราสามารถ ดูแลได้”
“พ่อเจอคนที่หนูคุยด้วยทุกคนค่ะ” น้องหนุนบอก กับเราอย่างเปิดเผย “แต่บางทีเขาจะแซว หรือบางที หนังแอบไปบอก พ่อก็จะชอบมาแซว แม่จะรู้ทุกอย่าง เพราะหนูคุยกับแม่ทุกเรื่อง แต่เรื่องแฟนหนูไม่ค่อย กล้าคุยกับพ่อ หนูว่ามันตลก ถ้าอยู่ดีๆ ไปบอกพ่อว่า พ่อหนูกำลังคุยกับคนนี้ แต่พ่อจะรู้เองโดยอัตโนมัติ เพียงแต่เขาจะพูดหรือเปล่า เพราะเขาก็คงรู้ว่าอยู่ใน ความดูแลของแม่ และเวลาพ่อถามถึง เราก็ตอบตาม จริงค่ะ แต่เขาจะเตือนว่าผู้ชายสมัยนี้น่ากลัวนะ และ หนูเป็นคนที่ดูคนไม่ค่อยเป็นเลย เชื่อคนง่าย แล้วทุก ครั้งที่หนูคุยกับใคร มีคนมาส่งที่บ้านหรือมารับส่งก็จะ ได้เจอพ่อแม่ตลอดอยู่แล้วค่ะ”
“กว่าเขาจะแต่งงาน มันคงไปทีละขั้น เมื่อถึงวันนั้น เราคงเห็นกันก่อนแล้วว่าเขาเลือกใคร ด้วยวิถีของ ครอบครัวเรามันต้องเห็นมาก่อนอยู่แล้ว” คุณพ่อตั้ว สรุป
พันธมิตร
เป็นที่ทราบดีว่าคุณตั้วเคยขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงที่ การเมืองไทยร้อนระอุ ชนิดที่เขาแทบจะเป็นขาประจำ ของเวทีนั้นเลย และเคยถึงกับมีมือดีโทร.มาขู่ฆ่า สร้าง
ความปั่นป่วนให้กับครอบครัวเล็กๆ นี้
ด้วย
“เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เรา เลี้ยงลูกแบบเป็นเหตุเป็นผล เพราะผมเล่า ให้ครอบครัวฟังหมดว่า เรากำลังไปทำอะไร สังคมทุกวันนี้เป็นอย่างไร พ่อทำไปเพราะ
อะไร เพื่อให้เขาเข้าใจ และครั้งนั้นก็เป็น เหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียน้ำตาเหมือนกัน คือตอน นั้นมีระเบิด M79 บ่อยทำให้มีคนตาย ก็จะมีคน โทร.มาบอก น้องหนังโทร.มาร้องไห้กับผม บอกพ่อ กลับบ้านได้ไหม พ่อต้องกลับบ้าน เดี๋ยวพ่อเป็น อะไรไป
“ผมยังจำวันนั้นได้เลยว่าผมร้องไห้กับเขาด้วย แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า เราเคยคุยกันแล้วว่าพ่อทำ อะไร ถ้าพ่อหนีกลับบ้านตอนนี้แล้วคนที่อยู่ที่นี่เขา จะทำยังไง เราก็ต้องเป็นกำลังใจให้กัน เขาก็บอก พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะ พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะ แล้ว ก็ร้องไห้จนวางหูไป ซึ่งพอเขาโตขึ้นก็เข้าใจ และ เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมสอนลูกมาตลอดว่าอะไรคือ อำนาจ อะไรคือกฎหมาย อะไรคือความไม่ถูกต้อง อะไรคือสังคม อะไรคือความรัก เขาก็จะเรียนรู้ ตลอด”
น้องหนุนช่วยเล่าอีกแรง “ตอนนั้นหนุนเครียด มาก เข้าไปในเว็บก็โดนด่า มีคนโทร.มาที่บ้านถ้า เขารู้ว่าเราเป็นลูก เขาก็ขู่ว่า ขอให้พ่อมึงชิบหาย จำได้ว่าโทร.มาเยอะมาก จนต้องถอดสายโทรศัพท์ ออก จำได้ว่าไปถามแม่ แม่ก็บอกว่าลูกใจเย็นก่อน พ่อเขาไปช่วยชาติบ้านเมืองนะ”
คุณพ่อคนเก่งบอกว่า ที่ผ่านมาเขาปลูกฝัง เมล็ดพันธุ์ที่ดีหลายอย่างให้กับลูกๆ จนครบถ้วน กระบวนความแล้ว หากแต่อนาคตจะเป็นอย่างไร นั้น เขาปล่อยให้เป็นเรื่องของชะตาจะพาชีวิตลูก ไปด้านไหนเอง
“เราเลี้ยงดูปลูกฝังอะไรเขามาหมดแล้ว ถ้าหลัง จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที่เขาตัดสินใจอย่างมี เหตุผลดีแล้ว ถ้าเป็นในทางพุทธ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ กับโชคชะตานั่นเองครับ”