TRAVEL: 7 วันของพ่อ-ลูก เอและอิ่มเอมใน LONDON
ไม่บ่อยนักที่ผมกับอิ่มเอมจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตลอด ทั้งสัปดาห์แบบยี่สิบสี่ชั่วโมงในทุกวัน ถ้าจะให้นับ จริงๆ ก็น่าจะมีเพียงสองครั้งที่เราได้ใช้เวลาร่วมกันแบบ นั้น จากการเดินทางที่มีแต่เราเพียงลำพัง ซึ่งมันทำให้ผม ได้ทำหน้าที่คุณพ่อกับลูกสาวของผมอย่างสมบูรณ์แบบ
ครั้งแรกของเราเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่อิ่มเอม อายุได้ 8 ขวบ ยังแต่งตัวเองไม่เป็น และทำอะไรเองไม่ ค่อยเป็นเท่าไร แต่เมื่อต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยกันโดย ที่ไม่มีคุณแม่ (คุณออม-ดิษยา สรไกรกิติกูล) ไปด้วย อิ่มเอมกลายเป็นลูกสาวตัวน้อยที่ให้ความร่วมมือกับ พ่ออย่างดี ต่อให้ผมต้องนั่งประชุมกับคนญี่ปุ่นอยู่นาน สองนาน อิ่มเอมสามารถนั่งรอผมอยู่กับไอแพดโดยไม่ งอแง มีเพียงแต่ลอบมองอย่างเป็นระยะว่างานของผม จะเสร็จหรือยัง และการไปด้วยกันครั้งนั้นกลับกลายเป็น ว่าอิ่มเอมสามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้น จากการที่ไม่มี ใครคอยทำอะไรให้ เหมือนกับว่าเขาโตขึ้นเพียงชั่วไม่กี่ วันอย่างไรอย่างนั้น
การได้พาลูกไปด้วยกันตั้งแต่เล็ก สอนอะไรให้เขาได้ หลายอย่าง ครอบครัวเราเลี้ยงลูกเหมือนฝรั่งบางคนที่ พาลูกไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอแม้กระทั่งไปทำงาน เพื่อที่ลูกจะได้รับรู้และเข้าใจว่างานของเราเป็นอย่างไร ลูกสามารถนั่งรอเราอยู่ในโชว์รูมได้โดยไม่งอแงร้องไห้ หากจะมีครั้งไหนที่เขาไม่ได้เดินทางไปด้วย ลูกก็จะนึก ภาพออกว่าพ่อกับแม่ก็ทำงานและอยู่ในบรรยากาศ แบบเดียวที่เขาเคยเห็นมาตลอด
ครั้งล่าสุดที่เราได้ไปด้วยกันเพียงลำพังเพิ่งผ่านมา เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง เนื่องจากผมต้องพาอิ่มเอมไปสอบ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอังกฤษ และคุณออมไม่ได้ไปด้วย เพราะติดธุระเรื่องงาน มันเป็นการเดินทางครั้งที่มีเรื่อง
ให้ต้องลุ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากเมืองไทย เพราะในแผน ของเรานั้น อิ่มเอมจะต้องเดินทางไปกับครอบครัวของ เพื่อนผมที่ลูกสาวของเขาก็ต้องไปสอบด้วยกัน ส่วนผม เองในขณะนั้นยังทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศสและวางแผนกันเอา ไว้ว่า ผมจะนั่งรถไฟจากฝรั่งเศสกลับมารอที่อังกฤษแล้ว ผมจะไปรับเขาในตอนเช้า
เราทำเรื่องอนุญาตให้ลูกเดินทางไปกับผู้ปกครองของ เพื่อนเขาเรียบร้อย แต่ก็มาพลาดตรงที่กฎของอังกฤษ ระบุเอาไว้เลยว่าเด็กจะต้องเดินทางกับเจ้าของพาสปอร์ต หมายเลขนี้ ซึ่งหมายถึงผมเท่านั้น แผนจึงเปลี่ยนอย่าง เร่งด่วนโดยผมต้องออกจากอังกฤษในคืนวันที่เพิ่งกลับ จากฝรั่งเศสทันที ผมรีบล็อกประตูบ้าน นั่งอูเบอร์ไป สนามบินโดยไม่มีสัมภาระติดตัวนอกจากพาสปอร์ต เพื่อไปรับลูกสาวที่กำลังลุ้นอยู่เหมือนกันว่าจะได้ไปดู โรงเรียนไหม เราซื้อตั๋วเครื่องบินจากเมืองไทยใหม่ และ บินมาอังกฤษในไฟลต์ของวันนั้นเช่นกัน ความที่ต้องลุ้น และแข่งกับเวลาทำให้เราสองคนรู้สึกมีความสุขกันมาก ตั้งแต่อยู่สนามบินด้วยความดีใจที่แก้ปัญหาได้ทัน โดยที่ อิ่มเอมเองก็บอกกับผมว่า เห็นใจคุณพ่อที่ต้องนั่งเครื่อง ไปกลับถึงยี่สิบสองชั่วโมงเพื่อไปรับเธอมาด้วยกัน
อังกฤษเป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัวเรา บ้านของ เราอยู่ที่ฟูแลมในย่านเชลซี และอิ่มเอมก็คุ้นเคยดีเพราะ เรากลับไปอังกฤษกันค่อนข้างบ่อย กิจวัตรในแต่ละวัน ของเราที่นั่นจึงไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องแปลกใหม่หรือน่า ตื่นเต้น ผมวางตัวเองออกจากงานทั้งหมดแล้วให้เวลา ลูกอย่างเต็มที่ เตรียมข้าวต้มกับหมูแผ่นซึ่งเป็นเมนูโปรด ให้เธอในทุกมื้อเช้า เตรียมเสื้อผ้าวางเอาไว้ให้ลูกอาบน้ำ และเปลี่ยนชุดเอง เพราะถ้าวันไหนไม่ได้เลือกเสื้อผ้าให้ อิ่มเอมก็จะใส่แต่เสื้อฮูดทุกทีไป บางวันเราออกไป
เดินห้างสรรพสินค้า ไปเดินเล่นในโคเวนต์การ์เดน ไป ร้านหนังสือ Hatchards ซึ่งเป็นร้านโปรดของอิ่มเอมเพราะ มีหนังสือแปลกๆ และหายากที่ร้านอื่นๆ ไม่ค่อยมี โดย ปกติลูกจะซื้อหนังสือติดกลับมาสองสามเล่มเพื่อเอามา อ่านให้จบ ก่อนจะกลับไปซื้อใหม่เมื่อกลับไปอังกฤษ คราวหน้า เหมือนกับครั้งนี้ที่ก็ได้หนังสือเกี่ยวกับสัตว์ กลับมาด้วย
อิ่มเอมเป็นคนที่รักและชอบอยู่กับสัตว์จึงไม่ใช่นัก ช็อปเท่าไรนัก ดังนั้นสถานที่โปรดของเธอจึงเป็นสวนสัตว์ ลอนดอน หรือ ‘London Zoo’ มากกว่า เราพาอิ่มเอมไป สวนสัตว์แห่งนี้ทุกครั้งที่มาอังกฤษตั้งแต่ลูกยังเล็ก ต่าง กันก็ตรงคราวนี้มีครอบครัวของน้ำใส เพื่อนของอิ่มเอม ไปด้วย เด็กๆ จึงได้สนุกไปด้วยกัน สวนสัตว์แห่งนี้มีสัตว์ ค่อนข้างเยอะและบางชนิดหาดูไม่ได้ในเมืองไทยหรือ กำลังจะสูญพันธุ์ จึงเป็นสวนสัตว์ที่อิ่มเอมใช้คำพูดว่า ‘เจ๋งดี’ แถมยังมีตึกซึ่งเป็นโซนของสัตว์เลื้อยคลานที่เคย ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในฉากที่แฮร์รี่ยัง ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเวทมนตร์วิเศษ มีโซนสัตว์ใหญ่ สัตว์น้ำ แต่โซนที่อิ่มเอมสามารถใช้เวลาอยู่ตรงนั้นได้นานนับสอง ชั่วโมง คือโซนของแกะแพะและสัตว์ที่เราสามารถสัมผัส ตัวหรือให้อาหารได้ เรียกว่าวันไหนที่ได้ไปสวนสัตว์ เราก็ จะยกเวลาทั้งวันนั้นให้กับสัตว์ไปเลย
ไฮด์พาร์กก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เรามักจะพาอิ่มเอมไป สวน
สาธารณะในใจกลางลอนดอนแห่งนี้ไม่เคยที่จะไม่คึกคัก เลยสักครั้ง และมักมีกิจกรรมต่างๆ จัดขึ้นเสมอ แต่สิ่ง ที่เราชอบทำกันที่สุด คือการตรงไปยังทะเลสาบ และ ซื้ออาหารอย่างขนมปังกับซีเรียลติดมือไปให้เป็ดด้วย วันนั้นเด็กๆ สนุกกันมาก และน้ำใสมาค้างคืนกับอิ่มเอม จึงเป็นวันที่ผมต้องรับบทเป็นคุณพ่อลูกสอง คอยดูแล เรื่องต่างๆ ในขณะที่เด็กๆ ก็เพลินกับการทำสไลม์และ เล่นกัน ที่กว่าจะหลับก็ทำเอาคุณพ่อหมดแรงไปด้วย
เราใช้เวลาอีกเกือบจะทั้งวันเต็มๆ ที่โรงละคร Palace Theatre เพื่อชม ‘Harry Potter and the Cursed Child’ ละครเวทีที่เป็นภาคต่อของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นการ แสดงที่เขียนบทขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะ โดยแจ็ก ธอร์น นักเขียนบทละครเวทีชื่อดังของอังกฤษ ทำงาน ร่วมกับเจ.เค. โรว์ลิง เพื่อพัฒนาบทในตอนพิเศษโดยเป็น เรื่องราวสิบเก้าปีให้หลังจากภาคสุดท้ายในภาพยนตร์ โดยแบ่งการแสดงเป็นสองภาคในแต่ละวัน ภาคแรกเริ่ม แสดงตอนบ่ายสองและจบราวห้าโมงกว่า ก่อนจะพัก เบรกดินเนอร์ แล้วเริ่มการแสดงภาคสองราวทุ่มครึ่ง กว่า จะจบก็ราวสี่ทุ่ม แต่อิ่มเอมก็สนุกกับการแสดงชุดนี้มาก เพราะมัน ‘เจ๋ง’ อย่างที่เธอชอบใช้คำนี้ติดปาก และยัง สนุกมากเหมือนเดิมแม้จะดูเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม
ความเจ๋งที่อิ่มเอมว่า คือการแสดงที่เหมือนมี เวทมนตร์สมจริง ทั้งฉากต้นไม้ เหล่าพ่อมดที่บินไปมา และโรยตัวลงมาเล่นกับคนดู หรือตู้โทรศัพท์ที่ดูดคน เข้าไปได้ด้วยรูเพียงนิดเดียว จากครั้งแรกที่อิ่มเอมดูด้วย ความตื่นเต้นและกลัวความเหมือนจริงในบางฉากจน อยากกรี๊ด คราวนี้ลูกดูด้วยความสนใจในเทคนิคที่ใช้บน เวทีว่าเขาทำได้ยังไง เพราะเป็นการแสดงที่สนุกยิ่งกว่าดู หนังหรืออ่านหนังสือเสียอีก
มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมกับอิ่มเอมต้องแยกกัน คือวันที่ลูก ต้องไปสอบและมีกฎว่าลูกต้องนอนค้างคืนที่โรงเรียน วันนั้นเรานั่งรถไฟออกจากลอนดอนเพื่อไปที่เคนต์ แล้ว ต่อรถเพื่อไปที่โรงเรียนอีกที กฎของโรงเรียนค่อนข้าง เข้มงวด เพราะเมื่อส่งเข้าโรงเรียนแล้วพ่อแม่จะติดต่อลูก ไม่ได้ ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ มีแค่เบอร์ฉุกเฉินที่ให้ไว้ สำหรับติดต่อ คืนนั้นผมกลับมานอนที่บ้านด้วยความ กังวลเล็กๆ ต้องเปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดและวางไว้หัวเตียง ซึ่งปกติไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อให้พร้อมรับสายตลอดเวลา รุ่งเช้าก็รีบนั่งรถไปโรงเรียนเพื่อฟังครูพูดในห้องประชุม ร่วมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ กว่าจะเจอลูกและรับกลับ ลอนดอนได้ก็ใช้เวลาราวสองชั่วโมงกว่า
เราใช้เวลาสบายๆ อีกหนึ่งวันในลอนดอนก่อนกลับ เมอื งไทยในวนั ถดั มา เจด็ วนั ของเราราบรน่ื และสนกุ สนาน กันดี และคงจะดียิ่งกว่านี้หากคุกกี้โดกระป๋องโตที่ อิ่มเอมตั้งใจซื้อมาฝากคุณแม่ ไม่ถูกห้ามนำขึ้นเครื่องเสีย ก่อนเพราะมีสถานะเป็นของเหลว ผมเห็นภาพที่อิ่มเอม ต่อรองกับเจ้าหน้าที่ว่าขอชิมคุกกี้โดก่อนจะถูกทิ้งไป ต่อหน้าต่อตาแล้วอดขำไม่ได้
แม้จะเสียดายแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะกลับบ้านที่ ลอนดอนคราวหน้า เราก็จะได้ไปกินคุกกี้โดด้วยกันทั้ง สามคนพ่อแม่ลูกแล้ว
เรื่องและภาพ: ดนัย สรไกรกิติกูล