THE YOUNG ACHIEVERS 2019:
สายเลือดครอบครัว ‘ผู้ค้าทองคำ’ หนึ่งเดียวในตลาดหลักทรัพย์
ธราภุช คูหาเปรมกิจ สายเลือด ‘ผู้ค้าทองคำ’ หนึ่งเดียวในตลาดหลักทรัพย์
ชื่อของ ‘โกลเบลก็ ’ เปน็ ทร่ี จู้ กั และไดร้ บั การยอมรบั มานานทั้งในด้านคุณภาพทองและความโปร่งใส ในการทำธุรกิจ ด้วยมาตรฐานบริษัทค้าทองคำเพียง แห่งเดียวที่เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มียอดขายทองคำ แท่งเฉลี่ยต่อปีในหลักหมื่นล้านบาท ถือเป็นสัดส่วน รายได้สูงสุดของบริษัท ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาเสริมทัพ และอยู่เบื้องหลังความสำเร็จก็คือ คุณเซนต์-ธราภุช คูหาเปรมกิจ ผู้รับผิดชอบดูแลภาพรวมและทิศทาง การดำเนินธุรกิจทั้งหมดในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่เปรียบเหมือน ‘บ้าน’ หลังใหญ่ของ ครอบครัว
การก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารในวัยไม่ถึง 30 ปีไม่เพียง ท้าทายความสามารถคุณเซนต์ หากยังต้องเผชิญแรง กดดันจากหลายด้านมากกว่าคนอื่น เพราะเขาคือ ทายาทรุ่นที่ 3 ของเจ้าของธุรกิจ และด้วยสถานะ ‘บริษัทมหาชน’ บอร์ดบริหารจะคอยจับตามองและ ประเมิน ‘กึ๋น’ ของผู้บริหารอยู่ด้วยเช่นกัน เรียกว่าถ้า ไม่เจ๋งจริงหรือไม่เก่งพอ ต่อให้เป็นลูกหลานเจ้าของก็ คงอยู่ในตำแหน่งนี้ลำบาก
จาก ‘ห้างทอง’ สู่อาณาจักร ‘โกลเบล็ก’
เมื่อ พ.ศ. 2483 หรือเกือบ 80 ปีก่อน อากงของ คุณเซนต์ (คุณอิ้วเฮียง แซ่คู) ทำธุรกิจค้าทองคำอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี ด้วยมองว่าทองคำเป็นสิ่งล้ำค่าที่มูลค่า ไม่เคยสูญหายไป และเป็นความมั่งคั่งมั่นคงที่ส่งต่อ ไปให้ลูกหลานได้ จากนั้นมาเปิดห้างทองที่กรุงเทพฯ กระทั่ง พ.ศ. 2537 จึงตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจ ทองคำแบบครบวงจร ท่านสั่งสมประสบการณ์ใน ธุรกิจค้าทองคำมายาวนาน ได้รับความไว้วางใจจาก ลูกค้าร้านทองทว่ั ประเทศ ทำใหต้ ระกลู ‘คหู าเปรมกจิ ’ เป็นผู้ค้าทองคำอันดับต้นๆ ของประเทศที่นำเข้าและ ส่งออกทองคำมากที่สุดรายหนึ่ง
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมาก มีความ ยืดหยุ่นในการลงทุนและนำไปใช้แสวงหาโอกาสทาง ธรุ กจิ ใหมๆ่ ไดส้ ะดวก แตเ่ ปน็ ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ทว่าผลกำไรต่ำ ฉะนั้นด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกลและ ความคิดที่ก้าวหน้าของคุณโอฬาร คูหาเปรมกิจ ลกู ชายคนโตจึงขยายกิจการไปสู่ธุรกิจการลงทุนด้วย การซื้อหุ้นและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในชื่อบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่ง มีอีก 3 บริษัทย่อยไดแ้ ก่ 1. บรษิ ทั หลกั ทรพั ยโ์ กลเบลก็ ทำธุรกิจเกี่ยวกับหลักทรัพย์ 2. บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ทำธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาทางการ เงิน หรือวาณิชธนกร (Investment Banker หรือ IB) และ 3. บริษัท เอเชีย อิควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด มุ่ง ลงทุนหรือไปร่วมลงทุนในบริษัทอื่นที่มีโอกาสเติบโต สูง ที่สำคัญ โกลเบล็กยังคงสืบทอดและรักษาการ ซื้อขายทองคำแท่งเอาไว้
จุดเปลี่ยนของชีวิต
ช่วงที่ครอบครัวขยายกิจการมาทำธุรกิจ หลักทรัพย์ คุณเซนต์ใช้เวลาช่วงที่ว่างหลังเรียนจบ ไฮสคูลจากสิงคโปร์ศึกษาหาความรู้เรื่องหุ้น และเอา เงินเก็บของตัวเองกับเงินที่คุณแม่ (คุณกาญจนา คูหา เปรมกิจ) ร่วมสมทบมาลองเล่นหุ้นดู จากนั้นไปเรียน เศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ทว่าการเรียนที่เต็มไปด้วยทฤษฎี คุณเซนต์ไม่เชื่อว่า จะช่วยให้เขาหาเงินได้ เมื่อเรียนจบจึงเลือกทำงาน ธนาคารเพื่อศึกษาระบบการทำงานของแบงก์ ที่แม้จะ ไม่เกี่ยวกับหุ้น แต่ก็พาเขาไปรู้จักโลกตลาดการเงิน ของจริง แล้วจึงไปต่อปริญญาโทสาขา Investment Management ที่ Cass Business School ประเทศ อังกฤษ นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเขา “ตอนนั้น มีวิกฤติเศรษฐกิจ แม้ไม่ส่งผลกับชีวิตความเป็นอยู่ ของผม แต่คิดว่าที่บ้านน่าจะได้รับผลกระทบด้วย ผม เลยฉุกคิดได้ว่า ถ้าผมไม่เก่ง ไม่ขยัน และไม่มีเงินเก็บ อนาคตอาจลำบากได้ ก็เลยเริ่มคิดวางแผนชีวิต ไม่ได้ ทำตัวชิลล์เหมือนตอนเรียนที่บอสตัน”
แม้เงินเก็บของตัวเองจากการเล่นหุ้นจะไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจของครอบครัว แต่ก็ไม่เคย ทำให้ชีวิตเขาต้องลำบาก แต่คุณเซนต์ขอเลือกที่จะ ไม่ประมาทและรับมือวิกฤติครั้งนั้นด้วยการใช้จ่าย อย่างประหยัด แม้ในเรื่องเล็กน้อยอย่างค่าน้ำดื่มที่ เขาลงทุนเอาขวดไปกรอกน้ำที่มหาวิทยาลัยแทนการ ซื้อ หรือหากอาหารมื้อไหนกินไม่หมดก็จะเก็บไว้กิน มื้อต่อไป “ค่าน้ำเดือนนึงอาจไม่กี่บาท แต่สำหรับผม อะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ผมก็ทำหมด เพราะไม่รู้ว่า วิกฤตินั้นจะเลวร้ายได้ถึงไหน” คุณเซนต์ใช้เวลาเรียน ปริญญาโทเพียงปีเดียว ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นทำงาน ในธุรกิจของครอบครัว
‘ผมไม่ใช่ผู้บริหารที่เก่ง’
คุณเซนต์กลับมาช่วยงานในบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็กในตำแหน่งวาณิชธนกร ด้วยเงินเดือนเพียง หมื่นบาทสำหรับวุฒิปริญญาโทจากอังกฤษ นั่ง ทำงานในห้องเล็กๆ และคอยหอบแฟ้มเดินตาม ทีมงาน แต่เขากลับสนุกและตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ “การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้
รู้พื้นฐานการลงทุนทำธุรกิจทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นความได้เปรียบที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำ ธุรกิจได้ นี่เป็นเหตุผลที่ผมเลือกมาทำงานนี้” หลังจาก นั้นคุณเซนต์สอบผ่านได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ วาณิชธนกรมาครองและทำงานนี้อยู่อีกหลายปี
ต่อมาคุณโอฬารโยกให้คุณธนพิศาล ลูกชายคนเล็ก มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่บริษัทหลักทรัพย์ แล้วสลับให้คุณเซนต์ผู้เป็นหลานไปเป็นกรรมการ ผจู้ ดั การดแู ลบรษิ ทั มหาชนแทน “เนอ้ื งานเปลย่ี นรปู แบบ ไป จากที่เมื่อก่อนเป็นงานรายวันด้านโอเปอเรชั่นจริงๆ แต่พอมาอยู่บริษัทมหาชน หน้าที่ผมคือการดูภาพรวม และเป็นงานสั่งการมากกว่า” ราวกับคุณเซนต์จะมี ญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าว่าจะได้มาทำหน้าที่นี้ เขามีวุฒิ ปริญญาโทอีกใบในสาขา Finance and Management Strategy จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นำมาใช้ในบทบาทใหม่
“การเป็นที่ปรึกษาการเงินอยู่หลายปีทำให้ความคิด มุมมอง และการแก้ปัญหาของผมค่อนข้างเป็นระบบ เมื่อรวมกับความช่างวิตกกังวล ก็ช่วยให้ผมปรับตัวเข้า กับหน้าที่ใหม่ได้ไม่ยากนัก โชคดีที่ผมสนใจการลงทุน มาตลอดและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ อ่าน หนังสือเยอะ ดูหุ้นมาเยอะ เห็นภาพรวมของบริษัทอื่นๆ มาไม่น้อย ผมเลยค่อนข้างมองธุรกิจขาดกว่าคนในวัย เดียวกัน นี่คือข้อได้เปรียบของตัวผม แต่ผมเป็นคน คอนเซอเวทีฟและค่อนข้างชิลล์ ถ้าในการเป็นผู้นำ ผม ไม่ใช่ผู้บริหารที่ดีเพราะไม่ใช่คนไฟแรงที่ทะเยอทะยาน พร้อมกระตุ้นให้ลูกน้องแอ็กทีฟได้ตลอดเวลา หรือถ้า ต้องมีวาทศิลป์ในการเจรจาโน้มน้าวหรือมีลูกล่อลูกชน นี่ไม่ใช่คาแร็กเตอร์ผม ผมไม่ถนัดและไม่สบายใจถ้า ต้องทำอย่างนั้น ผมเป็นพวกคิดเยอะ ต้องไตร่ตรองให้ ละเอียดรอบคอบ หาเหตุผลมาประกอบการตัดสินใจ ตลอด จะไม่เสี่ยงทำอะไรที่ตัวเองไม่มั่นใจเด็ดขาด”
เจ้าตัวอมยิ้มเหมือนอ่านใจคนฟังออก “ช่วงแรกใน การเป็นผู้บริหารก็มีผลกระทบบ้าง แต่ธุรกิจเราไม่ได้ วดั ผลกนั เดย๋ี วนน้ั แตท่ ำใหผ้ มเรยี นรวู้ า่ ควรกลา้ ตดั สนิ ใจ ให้เร็วกว่านี้ อย่ามัวลังเลจนเกินไป อาจดูค้านหรือไปกัน คนละทางระหว่างความเป็นตัวผมกับการเป็นผู้บริหาร แต่หน้าที่ผมคือทำให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ด้วยการเลือก คนเก่งและดีมาช่วยงาน ผมรู้ว่าตัวเองขาดอะไร ก็ต้อง เลือกคนที่มีสิ่งนั้นมาเสริมที่ผมขาดไป เมื่อต่างคนต่าง ทำหน้าที่ในสิ่งที่ตัวเองถนัด ผลก็จะออกมาดีเอง” นี่เอง เขาถึงออกตัวว่า “ผมคิดว่าตัวเองบริหารคนไม่เก่ง แต่ ผมบริหารการใช้คนได้ดี”
ธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น
“องค์กรเราเคารพและให้ความสำคัญกับบุคลากรที่ มีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือผู้บริหาร เรา เปิดใจและรับฟังซึ่งกันและกันด้วยเหตุผล” ว่าแล้วคุณ เซนต์ก็เล่าด้วยความชื่นชมถึงคุณธนพิศาล “เขาเป็น คนตรง ไม่เอาเปรียบใครแม้แต่กับลูกน้องของตัวเอง” นอกจากนี้คำแนะนำจากประสบการณ์จากรุ่น 2 ก็ จำเป็นมากสำหรับบริษัทที่มีพื้นฐานมาจากธุรกิจ ครอบครัวเช่นโกลเบล็ก “เรามีกรอบการทำงานและแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบกันชัดเจน ทุกวันนี้คุณลุงกับ คุณพ่อ (คุณกีรติพงษ์ คูหาเปรมกิจ) ยังคงเป็นบอร์ด บริหารคอยให้คำปรึกษา ส่วนการเป็นบริษัทมหาชน ทำใหก้ ารบรหิ ารจดั การมรี ะบบ โปรง่ ใส ซง่ึ เปน็ ประโยชน์ ในการขยายธุรกิจในอนาคต ฉะนั้น ถึงเป็นธุรกิจ ครอบครัวแต่ก็ทำงานแบบมืออาชีพ”
เจตนารมณ์สำคัญของครอบครัวคือ “ธุรกิจทองคำ ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของลูกค้า เราลูกหลานต้องรักษาชื่อเสียงที่บรรพบุรุษสร้างไว้ และ การเป็นบริษัทค้าทองเดียวในตลาดหลักทรัพย์ เป็น จุดแข็งที่ได้เปรียบเจ้าอื่นว่าเราทำธุรกิจโปร่งใสและ ตรวจสอบได้” การเข้ามารับช่วงธุรกิจต่ออาจดูเหมือน ไม่ยากเท่ากับรุ่นก่อนๆ ที่ต้องก่อร่างสร้างธุรกิจมา ทว่า ด้วยยุคสมัยที่ต่างกันการแข่งขันสูง การปรับตัวให้ทัน ยุค เข้ากับสถานการณ์ ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรุ่นที่ 3
“เราพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือแบบเรียลไทม์เพื่อ เพิ่มช่องทางการลงทุนพร้อมอำนวยความสะดวกให้ ลูกค้ามากขึ้น ด้วยการเช็กราคาทองคำ ขยายเวลาการ ซื้อขายทองคำ ขยายวงเงินการซื้อขายทางออนไลน์ และ ใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ข่าวสารขององค์กรและบท วิเคราะห์การลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ ทั้ง เว็บไซต์ เฟสบุ๊ก ไลน์ ทุกอย่างสามารถทำได้ผ่านปลาย นิ้ว นอกจากนี้ยังระดมไอเดียในการคิดและออก ผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เช่น โครงการออมทอง ให้ซื้อ ทองคำด้วยวงเงินที่เท่ากันทุกเดือน มีขั้นต่ำที่เดือนละ 1,500 บาท โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนไปซื้อทอง นอกจากนี้ก็ หาโอกาสขยายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านที่ เศรษฐกิจเติบโตดีและความนิยมในทองคำมาก เป็นอีก ทางเลือกในการทำให้ธุรกิจเติบโต”
หนุ่มนักลงทุน
“ทุกเรื่องในชีวิตผมคิดสไตล์เดียวกับการลงทุนหมด ผมรู้ว่าแต่ละปีผมมีรายได้เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายผมระเหย ได้แค่ไหน” เขาใช้คำว่าระเหยกับการใช้จ่ายที่ใช้แล้ว หมดไป “สมมุติรถราคาคันละ 5 ล้านบาท ตัดค่าเสื่อม ปีละล้านกว่าบาท ผมไม่มองว่าเราจ่าย 5 ล้านเพื่อซื้อ รถ แต่จะมองว่าต้องจ่ายค่ารถเดือนละแสนกว่าบาท
‘คดิ ฟงั กช์ นั่ นแี้ ลว้ ผมแฮปปแี้ ละ รสู้ กึ เซฟ รวู้ า่ ใชจ้ า่ ยอะไรไป เทา่ ไหร่ มนั จะมมี ลู คา่ ยงั ไงใน อนาคต แตจ่ ะไมเ่ ปลยี่ นคนอนื่ ให้ ตอ้ งคดิ และทำเหมอื นอยา่ งผม’