Parenthood ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
คุณแม่สายสตรอง กับการวางรากฐานการศึกษา ที่ควบคู่มากับเรื่องจิตใจ
แม้ว่าการเลี้ยงลูกจะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เชื่อ ว่าสิ่งที่คนเป็นแม่ทุกคนต้องการนั่นคือ การมอบ สิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก เช่นเดียวกับนักแสดงมากฝีมือ และหนึ่งในพิธีกรรายการ แชร์ข่าวสาวสตรอง ทาง ชอ่ ง 32 ไทยรฐั ทวี ี อยา่ งคณุ แอฟ-ทกั ษอร ภกั ดส์ิ ขุ เจรญิ ที่ทำหน้าที่คุณแม่ได้แบบสุดตรอง ตั้งแต่การอบรม เลี้ยงดูในชีวิตประจำวัน ให้การศึกษาที่เหมาะสมกับ วัย ไปจนถึงการเลือกโรงเรียนที่คิดว่าน่าจะบ่มเพาะ ให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างน้องปีใหม่ในวัย 4 ขวบ 7 เดือน ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งกายและใจ
โรงเรียนแรกของลูก
คุณแอฟเริ่มปูพื้นฐานให้กับลูกตั้งแต่น้องปีใหม่ อายุได้หนึ่งขวบครึ่ง โดยให้เข้าเรียนที่ Ivy Bound International School
“ตอนนั้นดูหลายที่ค่ะ แต่พอเป็นที่นี่แอฟรู้สึกอุ่นใจ ว่าลูกเราจะได้รับการดูแลอย่างดี เนื่องจากจำนวน เด็กไม่เยอะ โอกาสป่วยมีน้อย คุณครูดูแลใกล้ชิด ทั้ง เรื่องความสะอาด ความปลอดภัย ได้ภาษาอังกฤษ แล้วเป็นโรงเรียนอินเตอร์ที่มีการเคารพธงชาติ ทำให้ เขารู้จักความเป็นไทยด้วย อีกอย่างแอฟไม่ได้มุ่งเน้น วิชาการในวัยนั้น แต่อยากให้เขารักการไปโรงเรียน มี ทัศคติที่ดีกับคุณครู ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ขอแค่ เขาไปแล้วรู้สึกดี แอฟก็แฮปปี้แล้วละค่ะ” พอน้องปีใหม่อายุได้ 2 ขวบครึ่ง คุณแม่แอฟก็เริ่ม มองหาโรงเรียนใหม่ให้ลูก
ทำไมต้อง...วิถีพุทธ
แม้ในใจจะเล็งๆ โรงเรียนอินเตอร์ไว้บ้าง แต่ในเมื่อ น้องปีใหม่ชอบภาษาอังกฤษ สามารถสื่อสารได้ใน ชีวิตประจำวัน คุณแอฟจึงคิดว่าเรื่องภาษาเราไป ส่งเสริมนอกโรงเรียนก็ได้ โรงเรียนทอสีจึงเป็นตัวเลือก ที่ตอบโจทย์ที่สุด
“พอดีแอฟรู้มาว่าช่วงขวบแรกจนถึง 6 ขวบ เป็น ช่วงที่เด็กกำลังฟอร์มจิตใจและอุปนิสัย ซึ่งถ้าเลยไป ถึง 6 - 7 ขวบจะเปลี่ยนยาก หรือเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ฉะนั้นถ้าเราจะสอนอะไรเขาต้องรีบทำตั้งแต่ตอนนี้ แล้ววัยนี้เรายังไม่ได้มุ่งเน้นวิชาการมาก แต่อยากให้ ได้เรื่องจิตใจ ซึ่งที่นี่ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจ และทัศนคติทั้งกับตัวเอง การมองโลก ตลอดจนถึง การช่วยเหลือคนในสังคม การเป็นจิตอาสา การ อนุรักษ์โลก แล้วก็เน้นเรื่องการช่วยเหลือตัวเอง ต้อง กินข้าวเอง เสร็จแล้วก็เอาผ้ากันเปื้อนออกไปเช็ดเอง ทำความสะอาดเก็บจานเอง เดี๋ยวโตขึ้นก็ต้องล้างจาน เองด้วยค่ะ”
เรียนรู้อยู่กับธรรมชาติ
จากโรงเรียนอินเตอร์ มาเรียนโรงเรียนไทยที่
เป็นวิถีพุทธ ซึ่งเน้นให้เด็กช่วยเหลือตัวเองและสัมผัส กับธรรมชาติ ทำให้น้องปีใหม่ต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อย
“ปีใหม่น่าจะเจอคัลเจอร์ช็อกในระดับหนึ่งค่ะ ไปวัน แรกโดนถอดรองเท้าให้ไปเดินข้างนอก ปีใหม่กรี๊ดดดด บอก...ทรายติดเท้าหนู แอฟก็กลัวครูเห็นแล้วเขาจะไม่ ให้เข้าเรียน ก็เลยบอกไปว่า ปี...เงียบๆ ก่อน ปีดูเพื่อนๆ ถ้าเพื่อนทำได้ เราก็ต้องทำได้ คือช่วงแรกเขายังไม่ชิน”
โชคดีที่โรงเรียนจะมีช่วง transition โดยอนุญาตให้ คุณแม่เข้าห้องเรียนกับลูกด้วย คุณแอฟเล่าว่า สองวัน แรกยังปกติดี แต่พอวันที่สาม ปีใหม่ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ ไม่อยู่
“วันนั้นแอฟสงสารลูกมาก เขาเหมือนมีน้ำตาเอ่อ แล้วพยายามกลั้นไว้ แต่พอมันไม่ไหวก็เลยโพละออก มา ก็ถามเป็นไรลูก บอกหนูร้อน แล้วจะถอดชุด นักเรียนตลอดเวลา คือปีใหม่ขี้ร้อนค่ะ แล้วก็ไม่ชินกับ การอยู่กลางแจ้งนานๆ ตอนนั้นแอฟยังคิดว่าตัวเองโหด ไปหรือเปล่า”
แต่เพื่อเป็นการฝึกความอดทน คุณแอฟจึงต้องคุย กับลูกให้เข้าใจและช่วยแก้ปัญหาไปด้วยกัน
“แอฟคุยกับเขาว่า ถ้าร้อนเดี๋ยวแม่ไปบอกคุณครูให้ ขอไปห้องน้ำเอาน้ำล้างหน้า หรือวันที่แม่ไม่อยู่ หนูบอก ครูได้เลย เราต้องแก้ปัญหากันไป แต่เราจะแก้ผ้าไม่ได้ เราให้เขาดูเพื่อนๆ ที่อดทนเป็นตัวอย่าง แล้วมันก็ผ่าน มาได้ ทุกวันนี้เหรอคะ ต้องคอยบอกให้ใส่รองเท้า อยากจะสัมผัสพื้นดิน พื้นหญ้า อยากอยู่กับธรรมชาติ ตลอด”
ฝึกใจให้เข้มแข็งและเป็นตัวของตัวเอง
เหตุผลหลักอีกข้อที่เลือกโรงเรียนนี้ เพราะที่นี่สอน
เด็กๆ สวดมนต์และนั่งสมาธิ
“อย่างที่บอกค่ะ เราอยากให้เขาฟอร์มเรื่องจิตใจให้ หนักแน่นเข้มแข็ง แอฟไม่รู้เลยว่าโตขึ้นเขาจะไปอยู่ใน สังคมแบบไหน สมมุติถ้าเขาต้องไปอยู่ในสังคมที่วัตถุ นิยมมากๆ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความเป็นตัวตน ของเขาอยู่ รับรู้ว่าเพื่อนเป็นแบบนี้ สังคมเป็นแบบนี้ เราชื่นชมและยอมรับในตัวตนของทุกคน แต่ฉันก็เป็น แบบนี้นะ แล้วด้วยความที่เขาเป็นคนเร็ว คืออารมณ์ขึ้น และลงเร็ว อาจเป็นธรรมชาติของเด็กด้วย เลยอยาก ปรับให้เขาใจเย็นขึ้นค่ะ”
คุณแอฟเพิ่มเติมว่า อุปนิสัยของน้องปีใหม่นั้นเป็น คนที่ตรงข้ามกับเธอทุกอย่าง
“ที่บอกว่าไม่เหมือนแอฟคือ แอฟอาจจะมีด้านเดียว แต่เขาจะเป็นคนพลิกแพลงหลายด้าน มีมุมลุยๆ แก่นๆ ห้าวๆ แต่บางมุมก็แอบหวาน อยากจะกุ๊กกิ๊กเป็น เจ้าหญิง เวลาอยู่กับผู้ใหญ่จะมุ้งมิ้ง ขี้อ้อน คุณยาย ชอบบอกว่าฉอเลาะ เข้าใจพูด แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะ ลุยๆ เป็นหัวโจก เขามีหลายอารมณ์ค่ะ”
ส่วนเรื่องการเรียน คุณแอฟตั้งใจให้ลูกเรียนที่ทอสี จนจบป.6 หลังจากนั้นค่อยดูอีกทีว่าจะเรียนโรงเรียน ไทยหรืออินเตอร์ โดยจะขอฟังความเห็นจากลูกด้วย เพราะไม่อยากตัดสินใจด้วยตัวเองคนเดียว
‘ปีใหม่น่าจะเจอคัลเจอร์ช็อกใน ระดับหนึ่งค่ะ ไปวันแรกโดนถอด รองเท้าให้ไปเดินข้างนอก ปีใหม่กรี๊ดดดด บอก...ทราย ติดเท้าหนู เพราะช่วงแรก เขายังไม่ชิน’
เรียนรู้นอกห้องเรียน
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์คุณแอฟจัดสรรเวลาให้น้อง ปีใหม่เรียนเปียโน บัลเลต์ ว่ายน้ำ หรือเรียนเสริมทาง ด้านศิลปะที่ผสมผสานทักษะหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะ เป็นการฝึกการใช้ประสาทสัมผัส การใช้กล้ามเนื้อ ซึ่งมี ทั้งวาดภาพ งานประดิษฐ์ นอกเหนือจากนั้น ก็เป็นการ ฝึกให้เด็กเรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันและ สิ่งแวดล้อม
“ทโ่ี รงเรยี นเคยบอกวา่ ใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นชวี ติ ประจำวนั ไม่ให้ดูทีวี ซึ่งก่อนหน้านี้ในรถตู้จะมีทีวี เขาก็รู้ว่า ระหว่างทางไปโรงเรียนเขาจะได้ดูการ์ตูน แต่ครูบอกให้ ดูข้างทางไป เราก็สงสัยว่าแล้วจะดึงดูดความสนใจเด็ก ไปตลอดทางได้จริงเหรอ”
แต่เหมือนโชคช่วย ทีวีในรถเกิดเสียขึ้นมา คุณแอฟ เลยบอกลูกว่าซ่อมไม่ได้ ตอนนี้ผ่านมาปีกว่าแล้ว ที่ น้องปีใหม่นั่งรถโดยไม่ดูทีวีเลย กลายเป็นว่าปีใหม่เริ่ม สังเกตสิ่งที่อยู่ข้างทาง จดจำป้ายต่างๆ ที่เห็นโดย จำเป็นรูปภาพ และได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนที่อยู่ริมทางด้วย
ทำให้ดีที่สุดกับการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวในตอนนี้ คุณแอฟจะบอก เสมอว่า มีความโชคดีในความโชคร้าย เพราะเธอเลี้ยง ลูกคนเดียวมาตลอดอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรยากลำบาก มากกว่าเดิม ไม่ว่ากายหรือใจ อีกทั้งน้องปีใหม่ก็คุ้นชิน กับวิถีชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เล็กอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณแอฟ อดเป็นห่วงไม่ได้ คือเรื่องของอนาคตมากกว่า
“แอฟไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออะไรบ้าง เช่น ถ้าลูกโต กว่านี้ เป็นวัยรุ่น แล้วแอฟจะทำให้ข้างในลูกเต็มจน ไม่รู้สึกว่าขาดได้หรือเปล่า ตอนนี้อะไรที่ทำให้เขารู้สึก เต็มได้ เราจะทำเต็มที่ แต่มันก็ยากตรงที่เราต้องทำให้ เขาเต็มก่อน ขณะที่เราก็ยังเป็นคนเดิมที่ต้องเคี่ยวเข็ญ ต้องขัดใจเขา ถ้าเราตามใจหมด มันก็จะไหลไปกับทุก อย่าง ความยากของแอฟตอนนี้ไม่ใช่การเลี้ยงเดี่ยวหรือ เลี้ยงคู่ แต่อยู่ที่จะบาลานซ์ยังไงให้ลูกรู้ว่าแม่เข้มงวด ลูกไม่ควรผิดข้อตกลงที่คุยกันไว้ แต่เราก็ยังอยากเป็น คนที่ลูกจะเข้าหา อยากอยู่ด้วย อยากสนุกด้วย ก็ยาก ตรงนี้ค่ะ”
ส่งกำลังใจให้กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
ในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สิ่งที่คุณแอฟทำได้คือ อยากฝากให้กำลังใจกับคนทุกคน
“แอฟไม่ได้มีความรู้ หรือหลักการที่คิดว่าจะใช้ได้กับ ทุกคน เพราะแต่ละครอบครัวต่างก็มีสถานการณ์ที่ แตกต่างกันไป รวมถึงบุคลิกลักษณะของลูกเราเอง บางคนเข้มแข็ง บางคนอ่อนไหว แต่ที่แน่ๆ คือ เราคง ทำอะไรไม่ได้ถ้าแม่ไม่มีกำลังใจ ไม่มีพลังที่จะสู้ ปกติ เลี้ยงลูกก็ต้องใช้พลังเยอะอยู่แล้วในการเติมเต็มทั้งเรา และลูก ถ้าเราต้องทำหน้าที่ทั้งสองบทบาท แล้วเราก็ไม่ ได้ทิ้งอาชีพการงาน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยังต้องทำงาน อยู่ เพราะว่าอนาคตลูกอยู่กับเรา”
ที่ผ่านมา คุณแอฟยอมรับว่าจะทำเฉพาะงานที่ชอบ และมีความสุขเท่านั้น
“แอฟไม่เคยทำอะไรเล่นๆ ทำจริงจังหมด แต่ว่าเมื่อ ก่อนเราไม่ได้ทำเพื่อความอยู่รอด เพราะรู้สึกว่าเราตัว คนเดียว ใช้ก็ไม่หมดอยู่แล้ว เพราะเป็นคนไม่ค่อยใช้ ด้วย ไม่ได้ฟุ่มเฟือย หรือสายแฟชั่น แต่พอมีลูก เราทำ เพื่อลูก แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีความจำเป็นตอนนี้ แต่ เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง คำถามคือ ต้องเตรียมไว้ เท่าไหร่ถึงจะพอ”
ขณะเดียวกันคุณแอฟก็ไม่อยากโหมทำงานหนัก หรือหาเงินเยอะๆ จนทิ้งช่วงวัยเด็กของลูกไป
“ช่วงนี้เรายิ่งอยากจะอยู่กับลูกให้เต็มที่ เพราะฉะนั้น ความเป็นไปได้คือ แบ่งเวลาโดยไม่กระทบกระเทือนลูก ให้มากที่สุด อย่างตอนนี้แอฟรู้สึกว่าโชคดีที่สุดแล้วที่มี โอกาสดีๆ เข้ามา ได้ทำงานโดยที่ไม่ได้ทิ้งลูก ได้ไปส่ง ไปรับลูกเอง ทำเหมือนที่พ่อแม่ทุกคนทำ ช่วงกลางวันก็ ยังมาทำงานได้ และเป็นงานที่เรารักด้วย”
ส่วนใครที่คิดถึงฝีมือการแสดงของคุณแอฟ ภายใน สิ้นปีนี้ เธอบอกว่าจะหวนกลับมาเล่นละครอีกครั้งหลัง จากห่างหายมาหลายปี และจะทำหน้าที่คุณแม่ดูแล น้องปีใหม่ให้ดีที่สุด
‘มีมุมลุยๆ แก่นๆ ห้าวๆ แต่บางมุมก็แอบหวาน อยากจะ กุ๊กกิ๊กเป็นเจ้าหญิง คุณยาย ชอบบอกว่าฉอเลาะ เข้าใจพูด แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะลุยๆ เป็นหัวโจก’