The Family สุมณทิพย์ - พอลลีน่า ชี
‘เป่าเปาเรียนเสริม 7 อย่าง แต่ทุกอย่างเขามาขอเรียนเอง’
ถ้
าลองกดเข้าไปดูในไอจี @gggubgib36 จะเห็นว่า ช่วง 3 ปี 8 เดือนให้หลังมานี้ ชักจะได้เห็น หน้าตาไร้เดียงสาแต่ว่ารู้มากเกินเด็กของน้อง เป่าเปา-พอลลีน่า ชี มากกว่าเจ้าของไอจีอย่างคุณแม่ กุ๊บกิ๊บ-สุมณทิพย์ เสียอีก นอกจากวีรกรรมแก่นเซี้ยว แสนซนของน้องเป่าเปาที่ฟอลโลเวอร์เกือบ 6.5 ล้าน ของคุณกุ๊บกิ๊บได้เชยชมกันเป็นประจำ วันนี้น้องเป่าเปา มาเผยอีกด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่า ‘เด็กตัวเล็ก’ (ความหมายของชื่อพอลลีน่าในภาษาสเปนและเป่าเปา ในภาษาจีน) ยังเป็นนักเรียนคนขยันที่ขยันเป็นพิเศษถ้า เป็นวิชานอกห้องเรียน
“ตอนนี้เป่าเปาเรียนอยู่ชั้น…(เสียงเป่าเปาตอบเองว่า ‘เนริ ส์ เซอร’่ี ) กเ็ ทยี บเทา่ กบั ชน้ั อนบุ าล 1 คะ่ ” คณุ กบุ๊ กบ๊ิ เอ่ยเสียงอ่อน พอๆ กับสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจที่ลูกสาว คนโตวิ่งปร๋อไปทั่ว โดยมีคุณพ่อบี้-ธรรศภาคย์ ชี ที่เพิ่ง กลับจากทำงานที่ไต้หวันคอยวิ่งตาม แต่ก็จับไม่ได้ไล่ไม่ เคยทัน “เวลาไปโรงเรียนตอนเช้าๆ จะมีนิดหน่อยที่ อยากอยู่กับแม่ อยากให้หม่ามี้อยู่ด้วย”
“‘อยากให้หม่ามี้เข้าไปในห้องเรียนด้วย” เป่าเปาวิ่ง แฉลบมาตอบแทนคุณแม่อีกครั้ง
“แต่เขาชอบไปโรงเรียนค่ะ มีกิจกรรมให้ทำเยอะ” คุณกุ๊บกิ๊บพูดต่อพลางลูบท้องที่มีน้องอีกคนของเป่าเปา นอนขดอยู่ในครรภ์ได้ 7 เดือนกว่าแล้ว
ให้ลูกเลือกกิจกรรมเอง
กิจกรรมในห้องเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเวลลิงตัน กรุงเทพฯ ทำให้เป่าเปาอยากไปโรงเรียนเพราะจะได้ เล่นเสริมสร้างความรู้ไปในตัว แต่ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน เป่าเปาก็รอคอยให้มาถึงทุกวัน เพราะจะได้ ‘เล่น’ ใน สิ่งที่เธอเลือกเอง ดังที่คุณแม่จาระไนให้ฟังว่าแต่ละวัน ลูกสาวคนโตมาขอเรียนเสริมวิชาใดบ้าง
“วันจันทร์เรียนบัลเลต์ เรียนฟุตบอลวันอังคาร เรียน ไวโอลินและเต้นฮิปฮอปวันพุธ วันพฤหัสเรียนเปียโน และวันศุกร์เรียนยิมนาสติก เป่าเปามีกิจกรรมเสริมหลัง เลิกเรียนเยอะค่ะ เราจะลงตารางให้เขา 5 วันเลยซึ่งเขา เลือกเองทุกอย่าง ทางโรงเรียนให้มืออาชีพจากข้างนอก มาสอน เราจะถามเขาก่อนว่าอยากลองทำไหม แต่เท่า ที่สังเกตดูเขาจะชอบอะไรเกี่ยวกับคลาสสิกนะคะ ดูจาก ที่เขามาขอเรียนไวโอลิน เปียโนและบัลเลต์เอง บางทีก็ บอกว่าอยากดูวงออร์เคสตร้าเพราะเราเคยเปิดให้ฟัง เวลาไปเที่ยวต่างประเทศเขาจะถามว่าพาหนูไปดูโชว์ บัลเลต์ได้ไหม เราลงคลาสเรียนฮิปฮอปให้ 2 คลาสซึ่ง เขาบอกว่าถ้าจบแล้วเขาขอเรียนทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นฮิปฮอป”
คิวของเป่าเปาจึงแน่นไปด้วยตารางเรียนเสริม “ซึ่ง ในความคิดของเขาคือได้ไปเล่น ไม่ได้เรียนค่ะ” อย่างที่ คุณกุ๊บกิ๊บกล่าวเสริมขึ้นมา เท่านี้ยังไม่พอ นักเรียนคน ขยันยังเรียกร้องขอเรียนให้เยอะกว่านี้อีก “วันดีคืนดีเขา เดินมาบอกแม่ว่าหนูขอเรียนภาษาสเปนและพูดภาษา สเปนที่เขาจำมาจากยูทูบใส่เรา ถามเราว่าคำนี้แปลว่า อะไร เราก็ต้องไปหาครูมาให้เขา มีการเร่งด้วยว่าได้ครู หรอื ยงั เขาอยากเรยี นแลว้ ” คณุ แมเ่ มา้ ทล์ กู สาวทต่ี อนน้ี กดชัตเตอร์ถ่ายรูปคุณแม่กิ๊บขณะให้สัมภาษณ์ ท่าทาง ของช่างภาพวัย 4 ขวบคุ้นเคยกับกล้องตัวใหญ่ของ ช่างภาพมืออาชีพมิใช่น้อย จนคุณแม่กลั้นรอยยิ้มเอ็นดู ไว้ไม่ได้
เด็กอินเตอร์ตัวจริง
เพราะเกิดมาในครอบครัวพหุวัฒนธรรม เป่าเปาเลย มีความสนใจด้านภาษาเป็นพิเศษ อย่างที่คุณแม่พูดให้ ฟังว่าเป่าเปาพูดและฟังได้ 3 ภาษาแล้วในวัยเพียงเท่า นี้ “เขาใช้ภาษาอังกฤษ ไทย และจีนได้ค่ะ อย่างตอน ไปไตห้ วนั เราลงคอรส์ เรยี นสน้ั ๆ ใหเ้ ขา สงั เกตวา่ เหลา่ ซอื พูดอะไรมา เขาตอบได้ ฟังออก เพราะภาษาจีนเป็น ภาษาหลักของบี้ เขาพูดภาษาจีนเข้าใจรู้เรื่องกว่า ภาษาไทยอีกนะคะเพราะเขาเป็นคนไต้หวัน ทางบ้าน เขาแทบไม่มีใครพูดภาษาไทยได้เลย บี้พยายามพูดจีน กับเป่าเปาด้วย ซึ่งที่โรงเรียนมีสอนภาษาจีนบ้างนิด หน่อย แต่เรามีครูมาสอนที่บ้านวันเสาร์ด้วย เรายังไม่ อยากให้เขาเขียนเป็นตอนนี้ แค่อยากให้เขาสื่อสารได้ ในชีวิตประจำวัน
“ส่วนภาษาอังกฤษนี่ฉลุยเลยค่ะ บางคำที่เขาพูดมา เราต้องเปิดดิกฯ (หัวเราะ) หรือสำเนียงเขาบางทีเราก็ ฟังไม่ออก เพราะครูที่โรงเรียนเป็นคนอังกฤษ สำเนียง เป่าเปาเลยอังกฤษจ๋า กิ๊บสังเกตว่าเวลาเขาพูดคนเดียว หรือเล่นกับตุ๊กตา เขาจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้า พูดกับพ่อแม่ เขาจะพูดภาษาไทย กิ๊บรู้สึกว่าเขาน่าจะ ชอบภาษา เปา่ เปาพดู ไดค้ รง้ั แรกตอนอายุ 4 เดอื น คำ แรกที่เขาพูดคือคำว่า ‘โอเค’ เราก็ถามหมอว่าเขาพูดไป เรื่อยหรือเปล่า แต่หมอบอกว่าเขาน่าจะมีพัฒนาการ ด้านภาษา พอเขาโตขึ้นเราร้สู ึกว่าเขาไม่ได้มั่ว คือไม่ได้ จำมาแล้วพูดไป แต่เขาเข้าใจจริงๆ รู้ความหมายของ คำที่พูด บางทีเราก็ลองถามเขาว่ารู้เหรอว่าที่พูดมา แปลว่าอะไร เขาก็แปลให้ฟังได้ค่ะ”
เรียนในห้อง 5 วัน และเรียนเสริมพิเศษอีก 6 วัน ฟัง ดูว่าเด็กวัย 4 ขวบเรียนหนักมากมาย คุณแม่กิ๊บเลย ต้องทำหน้าที่ผู้จัดการคอยจัดคิวให้ลูกสาวมีช่วงเวลา เล่นเหมือนเด็กคนหนึ่งบ้าง
“ใจจริงกิ๊บไม่ได้อยากให้ลกู เรียนเสริมมากมายเลยค่ะ เสาร์-อาทิตย์ก็อยากให้ลูกใช้เวลากับครอบครัว แต่พอดี เปา่ เปารอ้ งขอจะเรยี นเอง เขาคงไมไ่ ดร้ สู้ กึ วา่ เปน็ การเรยี น เราเคยลองใจเขาว่า เลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลยไหมล่ะ เขาบอกเองว่า ไม่เอา หนูขอเรียนอันนี้ก่อน กิ๊บจะแบ่ง เวลาให้เขา พอเลิกเรียนจะเป็นเวลาเรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์จะพยายามไม่ใส่การเรียนให้ อยากให้เขาได้ พกั ผอ่ นเทย่ี วเลน่ แตเ่ ขาจะขอเรยี นเองเรอ่ื ยๆ
“เราก็จะแบ่งเวลาให้เรียน 1 ชั่วโมงตอนเช้าวันเสาร์ ที่เหลือก็เป็นเวลาฟรีสไตล์ พาเขาเที่ยวเล่นทำกิจกรรม ประสาเด็กค่ะ กิ๊บคิดว่าพ่อแม่เองก็ต้องมีส่วนร่วมที่ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่การเรียน แต่ทำให้เขารู้สึกว่า เป็นการค้นหาตัวเองด้วยการออกไปทำกิจกรรม สนุกสนาน ไม่ใช่ว่าลูกต้องเรียนวิชานี้ เวลานี้ (ทำเสียง เข้ม) และที่สำคัญพ่อแม่ต้องเอนจอยไปกับลูกด้วย”
‘วันดีคืนดีเขาเดินมา บอกแม่ว่า หนูขอเรียน ภาษาสเปน มีการเร่ง ด้วยว่าได้ครูหรือยัง เขาอยากเรียนแล้ว’
เรียนรู้ควบคู่ค้นหาตัวเอง
เธอยังยกตัวอย่างการเรียนรู้ควบคู่การค้นหาตัวเอง ให้ฟัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไอเดียของคุณบี้ที่เวลาพา ครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศครั้งใด เขาจะทำการบ้าน ก่อนไป เสิร์ชหาคอร์สสั้นๆ ทำเสร็จในหนึ่งวันให้ลูกได้ ทำ จนช่วงหลังทริปครอบครัวกลายเป็นทริปเด็กไปแล้ว “บี้จะลงคอร์สให้ลูกตลอดไม่ว่าเราไปเที่ยวที่ไหน ก็ตาม เราชอบพาเป่าเปาไปอยู่ในคลาสที่มีเด็กคนอื่นๆ ด้วย เราเชื่อว่าต่อให้เด็กฟังภาษาไม่ออก แต่ภาษากาย สื่อสารกันได้ เราแค่อยากให้เป่าเปาคุ้นกับสำเนียง อย่างตอนไปเกาหลีก็พาเขาไปศูนย์การเรียนรู้ของเด็ก เพอ่ื ใหเ้ ขาไดเ้ จอเดก็ ๆ ทน่ี น่ั หรอื เราเตรยี มจะไปไตห้ วนั 10 วัน บี้จะไปหาคลาสมาละ ไปแคมปิ้ง คลาสระบาย สี ทำโคมไฟจีน ทำกับข้าว เวลาเที่ยวส่วนใหญ่จะ เป็นทริปของเป่าเปาค่ะ เราไปช็อปปิ้งน้อยมาก “เราพยายามสร้างความทรงจำให้เขาเพราะช่วง วัยนี้สมองเด็กซึมซับได้ดีที่สุด ส่วนใหญ่เวลาไป เที่ยวกัน ผู้ใหญ่ไปเดินช็อปปิ้งแล้วเด็กทำอะไรล่ะ ก็ได้แต่เล่นโทรศัพท์ เรามองว่าหากิจกรรมให้ลูกทำ
ดีกว่า ล่าสุดเราไปคลาสศิลปะ นั่งฟังนิทานกันก่อน แล้วทำงานศิลปะกัน อีกคลาสพ่อกับลูกไปเรียนทำเค้ก เป่าเปาจะลุ้นว่าไปเที่ยวรอบนี้เขาจะได้ทำกิจกรรมอะไร ซึ่งเป่าเปาเป็นเด็กที่ต้องสื่อสารให้เขารู้ก่อน เราไม่ได้ ทรีตว่าเขาเป็นเด็กที่ต้องทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่เลือกให้ ตลอด เราจะให้เขามีโอกาสเลือก
“เช่นช่วงปีใหม่เราถามเขาก่อนว่าระหว่างไปโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นกับสวนเปปป้าเวิลด์ที่อังกฤษ เขา อยากไปไหน เขาเลือกไปอังกฤษ แต่แม่ไม่ได้เช็กก่อน ปรากฏไปถงึ สวนปดิ เปา่ เปารอ้ งไหเ้ ลยคะ่ (หวั เราะ) หรอื บี้ถามว่าเรียนทำซชู ิไหม เอารปู ให้ดู เปาบอกไม่เอา แล้ว คอยมาถามหมา่ มว้ี า่ ปา๊ ลงคลาสซชู หิ รอื เปลา่ เขาไมอ่ ยาก ทำ เวลาอยู่โรงเรียนครูบอกว่าเขาชอบเล่นบทบาทสมมติ จากประสบการณ์ที่เคยเจอมาให้เพื่อนๆดู เช่น เวลาเขา ไปออกงานอเี วนตห์ รอื ไปถา่ ยแบบ แสดงวา่ เขาจำได”้
อีกเหตุผลหนึ่งที่เป่าเปาต้องมีกิจกรรมทำมากมาย ขนาดนี้อาจเป็นเพราะพลังงานในตัวสูง คุณแม่เลย ต้องหาที่ให้ปลดปล่อย และค้นพบว่าการเปลี่ยนพลัง เล่นให้เป็นพลังของการสร้างพัฒนาการดูจะเป็น ทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย “บ้านกิ๊บให้ความสำคัญกับคำ ว่า learning มากกว่า education เรามือใหม่มากกับเรื่อง การศึกษานะคะ แต่เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าการเรียนรู้ อยู่รอบๆ ตัว ทุกวันนี้สิ่งที่เราเป็นก็มาจากการเรียนรู้ รอบตัว แต่การศึกษาก็สำคัญ เราเลือกโรงเรียนอย่างดี เราเลือกแอตติจูดของสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน แอตติจูด ของครู แต่อะไรที่อยู่นอกห้อง เราต้องเติมให้ลูกเอง”
คุณกุ๊บกิ๊บมองว่าการเลือกโรงเรียนก็เหมือนการ เลือกสังคมให้ลูก แต่สิ่งที่จะประกอบสร้างให้เด็กเติบโต ไปเป็นคนแบบไหน หลักสำคัญอยู่ที่ครอบครัว “พ่อแม่ ตอ้ งไมผ่ ลกั ภาระใหโ้ รงเรยี น เอาไปใหค้ รสู อน จบ พน้ื ฐาน ทั้งหมดต้องมาจากครอบครัวค่ะ” ว่าที่คุณแม่ลูกสอง เน้นย้ำ
“เด็กวัยนี้อาจจะพูดไม่เพราะบ้าง ซนบ้าง แต่เขา ต้องรู้ว่าต้องไม่ทำอะไรให้เป็นปัญหา มีหลายครั้งที่คน ที่ก่อเหตุในสังคมหรือสร้างวีรกรรมน่ากลัวมาจากสมัย เด็กที่ไม่ค่อยแสดงออกจนกลายเป็นเก็บกด กิ๊บเลยคิด ว่าการให้เด็กได้ปลดปล่อยและได้แสดงออกบ้างเป็น เรื่องดี มารยาทเป็นเรื่องที่ต้องสอนไปเรื่อยๆ วันนี้ยัง ไม่เห็นผลไม่เป็นไร เราบอกเขาไม่ได้หรอกค่ะว่าเป่าเปา จะโตขึ้นเป็นเด็กดีมากหรือเปล่า แต่วันนี้เราให้พลังบวก กับลูก ถ้าไม่ดีก็กลับมาคุยกัน ไม่ใช่แค่กิ๊บ ทุกคนใน บ้านจะบอกเขา แต่เราจะไม่บีบเขาเหมือนเด็กสมัย ก่อนที่โดนสั่งให้ทำจนเด็กดีกลายเป็นเด็กดื้อ
วิชาเข้าสังคม
เธอยังกล่าวถึงผลพลอยได้ที่ให้ลูกเรียนวิชาเสริม เยอะว่า นอกจากจะได้ความรู้พอกพูน ตัวเด็กเองยังได้ เรียนรู้วิชาที่ในห้องเรียนไม่มีสอน นั่นคือวิชาการเข้า สังคม “กิ๊บให้ลูกเรียนวิชาเสริมเพราะอยากให้เขาหัดฟัง คนอื่นบ้าง ไม่อยากให้เขามีแอตติจูดว่าพ่อแม่เท่านั้นที่ แตะฉันได้ คนอื่นห้ามแตะ กิ๊บเจอปัญหาแบบนี้เยอะค่ะ คนที่คิดว่าอย่ามาสอนฉัน ใครสอนไม่ได้เลย เธอเป็นใคร พ่อแม่ยังไม่ว่าฉันเลย แต่บ้านกิ๊บจะไม่มีแอตติจูดแบบ นั้นเด็ดขาด เวลาเป่าเปามีเรื่องกับใครก็ให้คนนั้นจัดการ
‘เราเคยลองใจเขาว่า เลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลย ไหมล่ะ เขาบอกเองว่า ไม่เอา หนูขอเรียนอันนี้ก่อน เขาจะ ขอเรียนเองเรื่อยๆ’
‘พ่อแม่เองก็ต้องมีส่วนร่วมที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่การ เรียน แต่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการค้นหาตัวเองด้วยการ ออกไปทำกิจกรรมสนุกสนาน’
ไม่ต้องวิ่งมาหาแม่ เป่าเปาต้องฟังคนอื่นบ้าง และค่อยๆ ค้นหาตัวเองไปค่ะ”
เพราะเรียนเยอะเลยได้เจอผู้คนหลาก หลาย เป่าเปาจึงไม่ใช่เด็กที่ยืนหลบหลังแม่ เมื่อเจอผู้คนใหม่ๆ และเธอไม่รีรอที่จะแสดง ทักษะที่ได้เรียนรู้มาในชีวิตจริง “เปาเป็นโรค เจอฝรง่ั ไมไ่ ด้ ชอบเขา้ ไปคยุ ดว้ ยคะ่ เขามคี วาม เป็นป้าข้างบ้านนิดนึง สนใจว่าคนนั้นคนนี้เป็น อะไร แต่เป็นสิ่งที่ดีที่เขาไม่นิ่งดูดายคนอื่น อย่างตอนไปอังกฤษ เราเดินไปเจอคนไร้บ้าน นั่งริมถนน มีป้ายเขียนว่าเขาหาค่าที่พัก สำหรับคืนนี้ เปาชอบอ่านป้ายอยู่แล้ว เขาเลย เดินไปคุย ถามไถ่ว่าคุณไม่หนาวเหรอ มานั่ง ทำอะไรตรงนี้ พอคุยกันรู้เรื่องสุดท้ายเดินมา ขอเงินพ่อไปให้คนไร้บ้าน แถมอวยพรด้วยว่า ‘สุขสันต์วันคริสต์มาส ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง คุณ’” คุณแม่เล่าอย่างซึ้งแกมทึ่งในตัวลูกสาว
“พ่อแม่ไม่ได้จะปกป้องลูกได้ตลอดเวลา หรือคอยสอนเขาได้ทุกอย่างนะคะ พอออกไป นอกบ้านก็ไม่รู้แล้วว่าเขาต้องเจออะไร เจอ ใครบ้าง เราเลยต้องหัดให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับ คนอื่น เรื่องการเรียนเราไม่เคยคาดหวังให้ลูก เรียนเก่ง ไม่เคยคิดว่าเปาเรียนบัลเลต์แล้ว ต้องเป็นนักบัลเลต์ เรียนไวโอลินแล้วต้องเป็น นักไวโอลิน ขอแค่เขามีความสุข มีอะไรทำ ไม่ เพ้อเจ้อและฟังคนอื่นบ้าง กิ๊บมองว่าเมื่อไหร่ที่ เด็กมีงานอดิเรกหรือสิ่งที่เขาสนใจทำ เขาจะ ไม่เลื่อนลอยและมีวิชาติดตัวด้วยค่ะ
“กิ๊บว่าคนเราเก่งได้หลายด้าน ยุคนี้จะมา เก่งแค่ในห้องเรียน อ่านแต่หนังสือก็ไม่ได้ มี ทักษะอีกเยอะมากที่คนคนหนึ่งต้องเรียนรู้ใน การใช้ชีวิต ตัวกิ๊บเองไม่ได้เรียนสูงมาก กิ๊บ เลยไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องเรียนสูง ต้องเป็น อัจฉริยะ กิ๊บแค่อยากให้เขาบาลานซ์ทุกอย่าง ได้ ไมว่ า่ จะเปน็ การใชช้ วี ติ คณุ ธรรม การศกึ ษา และทุกๆ อย่างค่ะ”