รินจานี ‘RING OF FIRE’ แห่งอินโดนีเซีย
ทีละก้าว ขึ้นยอดภูเขาไฟ รินจานี ราชินีแห่งลอมบอก ชาลิสา วีรวรรณ
รินจานี (Rinjani) กวา่ เราจะไดท้ ำความ รู้จักกันมันช่างยากเย็นนัก ต้องไต่ขึ้น ไปอย่างช้าๆ บนทางที่ชันกว่า 45 องศา ทำให้เหนื่อยกว่าปกติหลายเท่า เนินวัดใจ ในตำนานกับดินร่วนที่เกิดจากการสลาย ตวั ของหนิ ภเู ขาไฟ กา้ วขาขน้ึ ไปกค่ี รง้ั กไ็ หล กลับลงมาทุกครั้งเหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ ตลอดทางตอ้ งคอยประคบั ประคองทง้ั กาย และจติ ใจ จนเมอ่ื ไดเ้ หน็ แสงยามเชา้ คอ่ ยๆ เขา้ มาแทนทค่ี วามมดื มดิ ของทอ้ งฟา้ กลาย เปน็ กำลงั ใจใหเ้ ราเดนิ จนถงึ ยอดเขาในทส่ี ดุ
ถึงแม้นีจะเคยผ่านประสบการณ์ปีน เขาบนเส้นทางแสวงบุญที่เขาไกรลาส ประเทศทิเบตมาแล้ว และช่วงเวลาเพียง แค่ 3 วนั 2 คนื ทภ่ี เู ขาไฟรนิ จานนี น้ั ฟงั ดไู ม่ น่าจะหนักหนาสักเท่าไหร่ แต่กลับท้าทาย กว่าเดิมหลายเท่าเมื่อภูริ หิรัญพฤกษ์ เพื่อนร่วมทริป ดันผลักเก้าอี้บนรถต้มู าทับ เท้าตั้งแต่พวกเรามาถึงสนามบินลอมบอก อบุ ตั เิ หตทุ เ่ี กดิ ขน้ึ กลายเปน็ เหตกุ ารณอ์ นั ไม่ คาดฝันที่ทำให้นีต้องประเดิมทริปด้วยเท้า ข้างขวาที่นิ้วนางและนิ้วก้อยระบมฟกช้ำ
มันยากจะทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเราจะ ปีนเขาได้อย่างไร ยิ่งพอมาถึงที่พัก มอง ออกไปนอกหน้าต่างเห็นยอดเขารินจานี สงู ลบิ ถงึ กบั อยากจะถอดใจ
รินจานี หรือ ‘Ring of Fire’ เป็น ภเู ขาไฟทรงเกอื กมา้ ทส่ี งู เปน็ อนั ดบั สองของ อินโดนีเซีย มีจุดสูงสุดอยู่ที่ 3,726 เมตร เหนอื ระดบั นำ้ ทะเล และเปน็ ตน้ กำเนดิ แหง่ เกาะลอมบอก มีลักษณะเป็นสองภูเขาไฟ ซอ้ นกนั โดยมภี เู ขาไฟบารจู ารที ย่ี งั ปะทอุ ยู่ ซ่อนอยู่ภายใน เกาะลอมบอกนั้นเต็ม ไปดว้ ยความลล้ี บั ทน่ี อี ยากมาสมั ผสั สกั ครง้ั อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร ธรรมชาติ ไม่ว่าจะทะเลสาบ น้ำตก บ่อ นำ้ รอ้ น และปา่ ดบิ ชน้ื ชาวซาซะกเ์ ชอ่ื กนั วา่ รินจานีเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์และพวกเขาจะ เดนิ ทางมาสกั การะและประกอบพธิ กี รรมท่ี ทะเลสาบเซการา อานัก (Segara Anak) ทกุ ๆ วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง
พวกเรา 8 ชีวิตเลือกเส้นทางขึ้นภูเขา รินจานีโดยเริ่มต้นที่เซมบาลัน ลาวัง (Sembalun Lawang) ตลอดระยะเวลาราว 11 ชั่วโมง เราต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าสูง ใต้ แสงแดดที่ไร้ร่มเงาของต้นไม้ ทางเดินที่ คดเคย้ี วเลาะไปตามรอ่ งเหวลกึ บางชว่ งเปน็ ดนิ แฉะ บางชว่ งตอ้ งปนี ผาหนิ เมอ่ื เสน้ ทาง ชันขึ้นเรื่อยๆ อากาศจากที่ร้อนอบอ้าวก็ กลับกลายเป็นเย็นสบายด้วยหมอกที่
ปกคลุมไปทั่วบริเวณให้อารมณ์เหมือนเขา วงกต พวกเราโชคดีมาถึงพลาวันกัน เซม บาลนั (Plawangan Sembalun Crater Rim) จุดกางเต็นท์แรกตอนพระอาทิตย์ตกพอดี สภาพร่างกายค่อนข้างอ่อนล้า แต่พอได้ เห็นภาพทะเลหมอกที่กว้างสุดสายตาอยู่ ตรงหนา้ พวกเราหายเหนอ่ื ยเปน็ ปลดิ ทง้ิ
ไม่ว่าจะไปที่ไหนนีจะสนใจความ เปน็ อยขู่ องผคู้ นทอ้ งถน่ิ และทมี ลกู หาบทน่ี ่ี พวกเขาสามัคคีกันมาก ทำหน้าที่ได้ทุก อยา่ งตง้ั แตข่ นของ ไกดน์ ำทาง ทำกบั ขา้ ว แถมแต่ละคนยังดูอายุน้อยและแข็งแรง พวกเรามคี นโปรด เขาชอ่ื อบู ดุ แตเ่ ราชอบ เรียกเขาว่าฟาร์เรลล์ ด้วยความที่หน้าตา ชา่ งไปละมา้ ยคลา้ ยกบั ฟารเ์ รลล์ วลิ เลยี มส์ เหน็ ตวั เลก็ ๆ อยา่ งน้ี อบู ดุ สามารถวง่ิ ขน้ึ ลง เขาด้วยเท้าเปล่าได้อย่างสบาย จะว่าไป การปีนเขาบนเท้าที่เจ็บแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำ การเอาชีวิตมาฝากไว้กับคนแปลกหน้า นอกจากต้องเชื่อในตัวเองแล้ว สิ่งที่ยาก กว่าคือการฝึกให้เราเรียนรู้ที่จะเชื่อใจผู้อื่น และมันก็พิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งจากชี้นำ ของเขา ทางเดินที่ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างการให้เราเดินไต่ไปตามรากไม้ข้าม เหว อบู ดุ วา่ มาได้ ถงึ เราจะลงั เลใจ สดุ ทา้ ย เรากไ็ ปได้
นว้ิ เทา้ มอี าการแยล่ งเรอ่ื ยๆ และกลาย เป็นสิ่งที่คิดเวียนวนไม่จบสิ้นกับการ
ต้องเดินขึ้นเขาด้วยร่างกายที่ไม่สมประกอบนัก แม้จะมา กบั กลมุ่ เพอ่ื นรใู้ จทห่ี วั เราะเฮฮากนั ตลอดทาง แตใ่ จไมเ่ คย ละความกงั วลไปจากความเจบ็ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ เลย ทำไมสง่ิ เหลา่ น้ี ต้องเกิดขึ้นกับฉันดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ยิ่งพยายามหา คำตอบเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่สารพันความรู้สึกผุดขึ้น ทั้งเซ็ง ท้อแท้ เสียใจในโชคชะตา โมโหเพื่อน ตัดพ้อต่อว่ากับ ธรรมชาติ บางครั้งปวดมากจนถึงขนาดลืมชื่นชมทิวทัศน์ สวยงามรอบตัว เทร็กกิ้งโพลในมือต้องทำหน้าที่แทนขา ขวา เดินไปก็ฝึกพลิกแพลงกระบวนท่าการลงน้ำหนักไป ด้วย ซึ่งกลไกร่างกายของมนุษย์ก็ฉลาดนัก รู้จักวิธีการ ช่วยเหลือตัวเองว่าต้องผ่อนน้ำหนักอย่างไรไม่ให้เจ็บมาก ไปกวา่ เดมิ
อูบุดช่วยจัดแจงอาหารเย็นแบบง่ายๆ ให้คืนนั้นก่อน จะเดนิ ทางตอ่ ในอกี ไมก่ ช่ี ว่ั โมง เตน็ ทข์ องพวกเราตง้ั อยบู่ น ทางลาดบนริมปล่องภูเขาไฟที่กว้างประมาณ 3 เมตร มองลงไปซา้ ยขวาเปน็ เหวลกึ กวา่ 2,639 เมตร ความตน่ื เตน้ ทำให้ยากที่จะข่มตาพักผ่อน ซ้ำอากาศตอนกลางคืน หนาวและลมแรงมาก แถมต้องคอยระวังไม่ให้ทั้งตัวทั้ง กระเป๋าไถลลงไปข้างล่างอีก การนอนพักเอาแรงก่อนขึ้น ยอดเขาจงึ ทลุ กั ทเุ ลพอดู
เพื่อให้ถึงยอดเขาของรินจานีตามเวลาที่วางไว้ เรา ออกเดินทางตอนตีสอง ไฟฉายคาดศีรษะรัดเข้าที่ พอให้ มองเหน็ ทางเดนิ ระยะแค่ 1 - 2 เมตร ทา่ มกลางบรรยากาศ ทม่ี ดื สนทิ เพราะเปน็ คนื เดอื นดบั นมี องดนู ว้ิ เทา้ ตวั เองทท่ี ง้ั ปวดทั้งม่วงจากการเดินมาทั้งวันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสูด หายใจลกึ ๆ และไปรวมตวั กบั คนอน่ื ๆ พวกเราเรม่ิ จากการ ปีนร่องของธารลาวาที่ชันมาก ต้องกัดฟันปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสงไฟของคนข้าง หน้า ดินภูเขาไฟช่างร่วนสมคำร่ำลือ เดินไปข้างหน้าสอง ก้าวจะถอยหลังลงมาหนึ่งก้าว จนเหมือนออกแรงแค่ไหน กย็ งั ยำ่ อยกู่ บั ท่ี ไมใ่ ชม่ แี ตเ่ ราทน่ี กึ ทอ้ เพราะนอ้ งๆ ผชู้ ายท่ี ไปดว้ ยกนั ยงั ถงึ กบั ยนื ถอนหายใจเปน็ ระยะๆ ตลอดทางมี กอ้ นหนิ ใหญเ่ ปน็ ทน่ี ง่ั พกั ทกุ กอ้ นถกู จบั จองดว้ ยนกั ปนี เขา หนา้ ตาอดิ โรย บางคนถงึ กบั เดนิ กลบั เพราะไปตอ่ ไมไ่ หว
ช่วง 500 เมตรสุดท้ายก่อนถึงยอดเขารินจานี นีแทบ ไมเ่ หลอื แรงเดนิ อากาศขา้ งบนเบาบางขน้ึ เรอ่ื ยๆ ถงึ จะเคย ปีนเขาที่สูงกว่านี้ แต่พอมาเจอกับความชันอันเลื่องชื่อ บวกกับขาที่เจ็บ ทำให้รู้สึกว่าเวลาตรงนั้นมันสุดแสนจะ ยาวนาน รินจานีเขาว่าโหดมากแล้วสำหรับคนที่ร่างกาย ปกติ การเหลือกำลังขาแค่ข้างเดียวทำให้ยิ่งต้องมีสมาธิ มากขน้ึ ตง้ั ใจมากขน้ึ เจบ็ แปลบขน้ึ มากต็ ง้ั สตใิ หม่ เจบ็ อกี ทีก็หายใจแล้วนับหนึ่งใหม่ ทำอย่างนี้ไปตลอดทาง บอก กบั ตวั เองวา่ นค่ี อื สภาวะรา่ งกายทเ่ี ปน็ อยู่ อยา่ ไปยดึ ตดิ กับ ความพร้อมเต็มร้อยที่เตรียมมาจากบ้าน สิ่งเดียวที่ทำได้ คือยอมรับ อยู่กับมันให้ได้ และทำทุกๆ ก้าวให้ดีที่สุด ช่วงเวลานี้เองที่กลไกของความคิดเกิดความชัดแจ้งพร้อม กับฟ้าที่ค่อยๆ เริ่มสว่าง มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นตรงเส้น ขอบฟ้า ถึงพวกเราจะยังไม่มีใครเดินไปถึงยอดเขา และ ต้องเดินสวนกับนักปีนเขากลุ่มอื่นจำนวนมากที่กำลัง ทยอยกลับทำให้การเดินลำบากขึ้นไปอีก แต่พลังจาก ความเข้าใจทำให้เราขึ้นไปถึงยอดเขารินจานี ราชินีแห่ง ลอมบอกได้สำเร็จ
จุดสูงสุดของภูเขาไฟรินจานีทำให้เราเห็นวิว 360 องศาทอดไกลไปจนถึงเกาะบาหลี บนนั้นมีแต่รอยยิ้ม ทุกคนโบกมือแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเพื่อน ร่วมทาง นีนั่งลงบนผาหินมองไปที่เซการา อานัก ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟสีน้ำเงินด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง ใน นั้นมองเห็นภูเขาไฟบารูจารีเหลือขนาดเล็กนิดเดียว มัน เหนือจริงมากที่ขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ พวกเราต่างสวมกอด กันและพยายามซึมซับบรรยากาศบนยอดเขารินจานีให้ นานทส่ี ดุ กอ่ นจะลงมาเกบ็ ของเพอ่ื ออกเดนิ ทางตอ่
รินจานีขึ้นลงเส้นทางเดียวกัน ตอนเดินขึ้นว่ายาก แล้ว ปรากฏว่าการเดินลงยิ่งสาหัสกว่า เพราะต้องออก แรงจิกปลายเท้าเพื่อต้านแรงโน้มถ่วง นีตั้งสติ ใช้วิธีนับ หนึ่งเหมือนกับตอนขึ้นมา เพียงแค่ตอนนี้ความเจ็บไม่ได้ เป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป ระหว่างทางเรากลับกลายเป็นคน คอยให้กำลังใจกลุ่มคนที่กำลังเดินขึ้น ภาพเส้นทางที่ คลุมเครือมองไม่เห็นตอนกลางคืน ตอนนี้ทุกอย่างกลับ ชัดเจน นี่หรือ ทางที่ฉันเดินขึ้นมา ทำไมมันน่าหวาดเสียว ขนาดนี้ บางช่วงทางเดินแคบมากไม่ถึง 80 เซนติเมตร หินหลอมละลายบางส่วนกัดเซาะผ่านอุโมงค์น้อยใหญ่มี ให้เห็นสองข้างทาง ส่วนร่องรอยเส้นทางของธารลาวา
สีดำสนิท ดูมีความน่าเกรงขามและลื่นมากจนพวกเรา ต้องสไลด์ลงไปเหมือนเล่นสกี
เที่ยงวันนั้น เราหยุดกินข้าวกันที่ทะเลสาบเซการา อานัก ได้เห็นภูเขาไฟบารูจารีใกล้ๆ ส่งควันปะทุขึ้นมา เป็นสีขาว ปะปนไปกับเมฆที่ลอยอยู่บนอากาศ ช่วงบ่าย เป็นการฉลองความสำเร็จด้วยการแวะเล่นน้ำตกและ อาบน้ำพุร้อน ก่อนจะเดินขึ้นเขาอีกครั้งไปที่พลาวันกัน เซนารู (Plawagan Senaru Crater Rim) จุดกางเต็นท์คืน สุดท้ายบนขอบภูเขาไฟอีกฝั่ง แม้เวลากลางคืนที่นี่จะ หนาวเหน็บยิ่งกว่าเมื่อวาน แต่การได้เห็นทางช้างเผือก พาดข้ามขอบฟ้าท่ามกลางดาวระยิบระยับ ทำให้คืนนี้ เป็นคืนที่สวยที่สุดอีกคืนหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมา ความ เหนื่อยล้าที่สะสมมาหายไปจนหมด พวกเราตื่นเต้นกัน มาก ผลัดกันวิ่งสู้ความหนาวเพื่อออกไปถ่ายรูปกับทาง ช้างเผือก ธรรมชาติมักจะรู้ใจเราเสมอ และสิ่งสวยงาม เล็กๆ เหล่านี้เป็นเหมือนรางวัลที่มาเติมเต็มใจก่อนที่เรา จะจากลากัน
การเดินทางวันสุดท้ายของพวกเราเริ่มต้นอย่าง ครึกครื้น ตลอดทางกว่าจะถึงหมู่บ้านเซนารู (Senaru Village) ต้องผ่านป่าดิบชื้นที่มองไปทางไหนก็ชื่นใจ เต็ม ไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มและเถาวัลย์ระโยงระยาง ถึง วันนี้ทางลงจะชันที่สุด แต่กลับเป็นวันที่นีมีความสุขที่สุด ยิ่งตอนที่เข้าไปขอบคุณอูบุด เป็นความรู้สึกที่ออกมาจาก ใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในเวลาเพียง 72 ชั่วโมงจะมี เรื่องราวที่เล่าได้ไม่จบสิ้น ความงดงามของภูเขารินจานี มาพร้อมกับความท้าทายที่กวักมือให้เราเข้าไปเผชิญ หน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะเดียวกันก็ให้กำลังใจผ่าน ความสวยงามของธรรมชาติอันน่าพิศวงจนเราต้อง ยอมรับกับทุกบทเรียน
ขณะที่นีเล่ากำลังเล่าเรื่องรินจานีอยู่นี้ เวลาผ่านมา ได้สามปีแล้ว แต่หวนนึกทีไรก็ยังยิ้มให้กับทุกเหตุการณ์
ไม่ว่าจะเป็นการไม่ได้อาบน้ำ การเจอลูกอ๊อดในน้ำดื่ม มติ รภาพระหวา่ งทาง ความสนกุ สนานไปจนถงึ บททดสอบ อยา่ งการอยกู่ บั ความทกุ ขอ์ ยา่ งไรไมใ่ หท้ กุ ข์ ตอ้ งขอบคณุ ภูริที่ช่วยเพิ่มเติมให้ประสบการณ์การขึ้นยอดเขารินจานี ของนีเป็นการเจริญสติชั้นยอด ได้มีโอกาสต่อสู้กับกาย และใจตนจนค้นพบจุดที่สมดุลในตัวเอง
ทริปนี้พวกเรายังเดินทางไปเกาะกิลี (Gili Island) กัน ต่อรวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 8 วัน ถึงจะได้กลับเมืองไทย และ ไดร้ วู้ า่ สองนว้ิ ทบ่ี าดเจบ็ จนแทบจะลมื ไปแลว้ นน้ั ความจรงิ รุนแรงถึงขั้นกระดูกร้าว และต้องรักษาอยู่นานร่วม 3 - 4 เดือน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกวินาทีที่รินจานีเป็น ความทรงจำอันมีค่า เรียกได้ว่าลืมไม่ลงกันเลยทีเดียว