จากน้ำามัน..สู่การเมือง
ภาพคราบนำ้ามันเปื้อนอ่าวพร้าว บน เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปลายเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นข่าวครึกโครม ไปทั่วโลก
ผลพวงที่ตามมาก็คือ บรรดานักท่อง เที่ยวที่จองห้องพัก ซึ่งปกติเป็นช่วงเข้าสู่ฤดู การท่องเที่ยว หรือ ไฮซีซั่น นั้นได้ยกเลิก แผนการเดินทางไปเกาะเสม็ดจำานวนมาก
แม้ว่าผลกระทบมีเพียงอ่าวพร้าว เพียง แห่งเดียวก็ตาม ทว่าได้กระจายวงกว้างเรื่อง ปัญหาสารเคมีปนเปื้อน ทั้งทางสภาพภูมิ ศาสตร์ หรือสภาพอากาศ
นอกจากนี้ยังลามไปถึงเรื่องอาหารการ กิน โดยเฉพาะบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติมี ความอ่อนไหวอยู่แล้ว ยิ่งขาดความมั่นใจตาม ไปด้วย
อย่างไรก็ตามปัญหาการฟื้นฟูฯสภาพ อ่าวพร้าวต้องใช้เวลานาน โดยเฉพาะหากขาด การฟื้นฟูนอย่างถูกต้อง
ถือเป็นโจทย์ใหญ่สำาคัญของหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต้อง ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวยังไม่ทัน หาย ปัญหาการเมืองภายในประเทศก็ยังเกิดขึ้น ในเวลาเดียวกัน
เพราะภาพการชุมนุมทางการเมือง ไม่ ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดในโลกนี้ ต่างส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งสิ้น
เช่นในอดีตการชุมนุมที่เซ็นทรัลเวิลด์ ส่งผลเสียกับการท่องเที่ยวมหาศาล โดยเฉพาะ การยกเลิกการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย
ถึงแม้ว่าการชุมนุมในบ้านเราไม่ได้ ทำาให้คนไทยต้องวิตก เพราะเป็นภาพที่คุ้นเคย มาหลายยุคหลายสมัย แต่ทว่าเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องละเอียดอ่อนกับชาวต่างชาติ
และการที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าภาค การท่องเที่ยวจะสามารถสร้างรายได้ 2 ล้าน ล้านบาท ในปี58 นั้น ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ เป็นผลงานของภาคเอกชนและประชาชน
ในขณะที่รัฐบาลเป็นหน่วยงานพี่เลี้ยง ที่คอยสนับสนุนด้านนโยบายเพื่อให้ภาคการ ท่องเที่ยวเดินหน้าและสร้างรายได้ให้ได้ตาม เป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องทำาหน้าที่ล้าง ภาพเน่า สร้างภาพดี ๆ ไม่ใช่ฉุดความเชื่อมั่น เสียเอง.