ความหวังของคนไทยคาดปี 59 อาจได้ผลสรุป
37.22/40.12 และ 45.10 ตามลำาดับ และถ้า นับเฉพาะประชากรในกลุ่มอายุ15-24 ปี จาก ปี พ.ศ.2551-2554 พบว่ามีอัตราป่วยต่อแสน ประชากร เท่ากับ 62.79 / 76.49/79.75 และ 90.06 ตามลำาดับ ซึ่งมีจำานวนมากเป็น 2 เท่า ของอัตราป่วยทั้งประเทศ
“วัคซีนเอดส์” จึงเป็นความหวังที่จะช่วย ลดและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในประชากร ทุกกลุ่มของประเทศ และนับเป็นเวลากว่า10 ปี แล้ว ที่นักวิจัยไทยได้ทำาการวิจัยและพัฒนา วัคซีนเอดส์มาอย่างต่อเนื่อง
ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้า ภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน หัวหน้าศูนย์ ความเป็นเลิศด้านการทดสอบวัคซีนทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล ตำาบลศาลายา จังหวัด นครปฐม “สถานการณ์ และความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนเอดส์ ในประเทศไทยและนานาชาติ” ในการประชุม วิชาการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ กลางเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมาว่าขณะนี้ โครงการทดสอบวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ที่ทำา ในประเทศไทยมีความคืบหน้าไปมาก จากการ วิจัยเมื่อปี 2552 ในมนุษย์ระยะที่ 3 หรือ อาร์วี 144 ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ไม่ติดเชื้อ จำานวน 16,000 คน ได้ข้อสรุปว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ สามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ ถึง 31.2% จึงได้มีการศึกษาต่อเนื่องในโครงการ อาร์วี 305 โดยการให้วัคซีนกระตุ้นในอาสาสมัคร กลุ่มเดิมจำานวน 165 ราย ที่ได้รับวัคซีนครบและ ไม่ติดเชื้อโดยจะทำาการฉีดจำานวน 2 ครั้ง ห่างกัน ครั้งละ6 เดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการฉีดวัคซีน และติดตามผล และได้มีการต่อยอดเป็นโครงการ อาร์วี 306 เพื่อศึกษาลักษณะการตอบสนองของ ภูมิคุ้มกันดั้งเดิมและภูมิคุ้มกันจำาเพาะ ในสารคัด หลั่งจากเยื่อบุปากมดลูกและนำ้าอสุจิ ซึ่งโครงการ อาร์วี 306 นี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ จริยธรรมการวิจัยในคน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว และได้เริ่มดำาเนินการมา แล้วตั้งแต่ 28 มกราคม 2556 โดยคาดว่าทั้งโครง การอาร์วี 305 และอาร์วี 306 จะสามารถสรุปผล ได้ภายในปี 2559
“ทั้งนี้ตนมีความหวังว่า หากการวิจัย ประสบความสำาเร็จ วัคซีนดังกล่าวจะสามารถ ใช้ป้องกันโรคเอดส์ได้เหมือนกับวัคซีนป้องกัน โรคต่าง ๆ ทั่วไป เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่ ติดเชื้อแล้วเท่านั้น”
ศ.พญ.พรรณี กล่าวอีกว่า ในวันนี้การ พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ของประเทศไทย จัดว่าได้ผลไปในทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถการันตี ได้ว่าจะประสบความสำาเร็จหรือไม่ ซึ่งนักวิจัยด้าน วัคซีนจะทราบดีว่า ความล้มเหลวในการวิจัยวัคซีน ต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน และการวิจัย พัฒนาวัคซีนแต่ละชนิดต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำาคัญ ของนักวิจัยด้านวัคซีนก็คือเงินทุนในการ สนับสนุนการวิจัยด้านวัคซีนที่ต่อเนื่อง อย่าง กรณีของการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่ได้รับ การสนับสนุนทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ตนเองก็คาดหวังว่าในอนาคตรัฐบาลไทยจะมี นโยบายที่ชัดเจนและให้การสนับสนุนทุนอย่าง ต่อเนื่องเช่นกัน เราลงทุนในแง่ของบุคลากร ส่วนภาครัฐจะต้องหาแหล่งทุนสนับสนุน”
“การมีสถาบันวัคซีนแห่งชาตินับว่าเป็น เรื่องที่ดี ที่มีหน่วยงานกลางในการเป็นผู้ผลักดัน ให้เกิดการจัดการความรู้ด้านวัคซีน การเผยแพร่ ความรู้ด้านวัคซีนแบบบูรณาการ ครอบคลุมองค์ ความรู้ตลอดวงจรการพัฒนาวัคซีน ตั้งแต่การ พัฒนานโยบาย การวิจัยพัฒนา การผลิตและการ ใช้วัคซีนในระดับชาติ ซึ่งเป็นกลไกสำาคัญอย่าง หนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงการขับเคลื่อนงานด้าน วัคซีนให้เดินหน้า แต่เนื่องจากการวิจัยด้านวัคซีน มีความซับซ้อน ดังนั้นการมีเพียงหน่วยงานเดียว อาจจะไม่เพียงพอ” ศ.พญ.สุพรรณี กล่าว
ในขณะที่ ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้ อำานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การ มหาชน) กล่าวว่า ด้วยความที่วัคซีนเป็นธุรกิจอย่าง เต็มตัว สิ่งที่ประเทศกำาลังพัฒนาจะต้องประสบคือ ปัญหาการขาดแคลนวัคซีน และหากไม่มีการฉีด วัคซีนก็จะมีคนเสียชีวิตในโลกนี้ไม่ตำ่ากว่า15 ล้าน คนต่อปี และหนทางให้ได้มาซึ่งวัคซีนก็ไม่ใช่ทาง ตรง แต่เป็นทางคดเคี้ยวและมีความเสี่ยงสูง
ปัจจุบันปริมาณการใช้วัคซีนในประเทศ กำาลังพัฒนามีมากถึง88% ของตลาดรวม แต่มูลค่า วัคซีนมีเพียง 12% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นวัคซีน ราคาถูก ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดใจในแง่การค้า เป็นผล ให้การผลิตวัคซีนสำาหรับประเทศที่กำาลังพัฒนามี ทิศทางลดลงอย่างชัดเจน หากบริษัทวัคซีนต่าง ๆ หยุดผลิต ปัญหาที่ตามมาคือไทยหรือบางประเทศ ก็ไม่สามารถสำารองวัคซีนเป็นจำานวนมากได้ และ ไทยอาจไม่สามารถหาซื้อวัคซีนติดต่อกันทุกปี ได้ อีกทั้งแม้ประเทศจีน อินเดีย บอกว่าผลิตวัคซีน ได้ในราคาถูก แต่ไทยก็ซื้อในราคาที่แพง เพราะ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับ อุตสาหกรรมอื่นจะเห็นว่าต้นทุนวัคซีนเพิ่มขึ้นทุก ปี ดังนั้นหากเราผลิตวัคซีนได้สำาเร็จเราก็จะมีความ มั่นคงเรื่องการใช้วัคซีนในประเทศมากขึ้น
“ตอนนี้มีข้อสรุปจาก WHO มาว่า ภายในปี ค.ศ. 2020 ประเทศที่กำาลังพัฒนาอาจ จะต้องพึ่งตัวเองในการผลิตวัคซีนไว้ใช้เองภายใน ประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วประเทศไทยอยู่ ในภาวะถดถอย 80% ของมูลค่าที่ใช้ในการผลิต วัคซีน ไทยต้องนำาเข้าจากต่างประเทศเป็นเงินทั้ง สิ้นกว่า 2,400 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันการผลิต วัคซีนจากต้นนำ้าของประเทศไทยก็เหลือแค่2 ตัว เท่านั้น ซึ่งมันสะท้อนอะไรได้หลาย ๆ อย่าง แต่ หลายฝ่ายทั้งนักวิชาการ คนทำางานต่างก็ยืนยันว่า ยังไงคนไทยก็ต้องพึ่งตนเองในเรื่องการผลิตวัคซีน ให้ได้” ดร.นพ.จรุง กล่าว
“วัคซีนเอดส์” ในวันนี้ยังเป็นเพียงแสง สว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าหากรัฐบาลให้ความ สำาคัญและหันมาให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในอนาคตคนไทยจะได้ใช้ วัคซีนเอดส์ที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทยอย่าง แน่นอน อีกทั้งยังสามารถส่งไปขายยังต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย.
บดินทร์ชัย เกรียงไกรชาญ