‘สะเก็ดเงิน’

พบได้น้อยกว่า ในประเทศไทยมีผู้ป่วยอยู่ ประมาณหลักแสนถึงหลักล้านคน

ทั้งนี้ในอดีตมองว่าเป็นเพียงโรคผิวหนัง เท่านั้น แต่ปัจจุบันทางการแพทย์เห็นตรงกันว่า ต้องมีการดูแลร่วมทั้งระบบเนื่องจากเมื่อเป็น สะเก็ดเงินแล้วจะมีโรคอื่นตามมา เช่น ข้อ อักเสบ และอาจจะนำาไปสู่การเป็นโรคอื่น ๆ อีก เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และที่มาคู่กันคือตัวใหญ่ อ้วน

“ปัจจุบันพบว่าสารที่ทำาให้คนเป็นโรค สะเก็ดเงินนั้นจะถูกสร้างในเซลล์ไขมัน ดังนั้น ยิ่งตัวอ้วน เซลล์ไขมันเยอะมากจึงเท่ากับว่ามี โรงงานในการสร้างสารที่ก่อโรคมากขึ้นเท่านั้น กำาลังการผลิตมาก คนไข้ตัวใหญ่จึงมีสารเหล่า นี้เยอะ การแสดงออกของโรคจึงเยอะขึ้นตาม ไปด้วย นอกจากนี้เมื่อติดตามเด็กอ้วนไป เรื่อย ๆ พบว่า มีอัตราการเป็นโรคสะเก็ดเงิน มากกว่าคนที่ไม่อ้วน ดังนั้นความอ้วนอาจจะ เป็น 1 ในสาเหตุของการเกิด โรคได้ด้วยหรือไม่”

ทั้งนี้ การจะดูว่าโรค กำาเริบมากน้อยแค่ไหนนั้น สามารถดูได้จากขนาดของผื่น ที่เกิดโรค โดยผื่นขนาด 1 ฝ่ามือจะเท่ากับ 1% ของพื้น ผิวตัวเรา หากมากกว่า 10 ฝ่ามือถือว่าโรคกำาเริบมาก ต้องเข้ารับการรักษาจาก แพทย์และรับประทานยาร่วม กับการรักษาวิธีอื่น ถ้าเป็น น้อยกว่านี้ก็อาจจะแค่ใช้ยาทาเท่านั้น อย่างไร ก็ตาม แม้จะเป็นน้อยแต่ถ้าเป็นในบริเวณที่ กระทบกับการใช้ชีวิต เช่น ฝ่าเท้า หรือฝ่ามือ ก็อาจจะต้องรักษาเยอะหน่อย ที่สำาคัญ เมื่อเป็นโรคนี้ควรออกมาสัมผัสแสงแดด ธรรมชาติซึ่งจะช่วยให้อาการผื่นดีขึ้น แต่ถ้า มัวแต่ปกปิดร่างกายจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะโรคนี้มักพบในร่มผ้า

“โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคเรื้อรังที่รักษา ไม่หายขาด แต่สามารถรักษาให้โรคสงบได้ สิ่งสำาคัญคือกำาลังใจ สภาพจิตใจของผู้ป่วย เองต้องเข้มแข็ง และอย่าเอารูปลักษณะมา เป็นข้อจำาในการเข้าสังคม ในการแสดงความ สามารถ ศักยภาพของตัวเอง และขอยืนยัน อีกครั้งว่า สะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ คนที่ เป็นโรคก็ไม่ผิด” ศ.ดร.นพ.ประวิตร กล่าวใน ตอนท้าย.