วันวานกับวันนี้ของดอยอ่างขาง
บนดอยอ่างขาง ตื่นมาตอนเช้า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า นอกห้องอากาศจะต้องหนาวกว่าในห้อง แต่ทุกคนก็ยัง พาร่างกายออกไปสัมผัสความหนาว
อุตส่าห์ขึ้นมาถึงดอยอ่างขางแล้วกลัวหนาวก็ไม่รู้ ว่าขึ้นมาทำาไม
ถึงหน้าหนาวทีไร อ่างขางขายดีก็เพราะมีอากาศ ให้ผู้คนได้ไปเอาความหนาวมาห่มกาย
กาแฟร้อน ๆ แกล้มด้วยอาหารเช้า ขนมปัง ดาว ไส้กรอก ทำาให้เป็นมื้อเช้าที่มีความสุข อย่าบอกใคร
หรือบางคนน่าจะอร่อยมากกว่า นั้นจากการได้กินโจ๊กกับปาท่องโก๋ร้อน ๆ ของชอบ เพียงแต่ต้องรีบกิน เพราะถ้า ช้า ๆ ทั้งโจ๊ก ทั้งปาท่องโก๋จะเย็นเร็วเพราะ สู้อากาศหนาวไม่ได้
ยามเช้า แม้อากาศหนาว แต่ก็ยัง มีนกหลายชนิดเกาะอยู่บนยอดไม้ และบาง ตัวส่งเสียงร้อง ทำาให้ได้บรรยากาศการมา พักผ่อนได้ดีเหลือเกิน
กำาหนดการที่จะท่องเที่ยวในวันนี้ ที่น่าสนใจก็คือการไปชมไร่ดอกไม้เมือง หนาว ไข่
ดอกไม้ที่มาเกิดที่นี่สีจะสด ดอกโตและกลีบ ดอกแข็งแรง
นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะอดใจไม่ไหวที่จะถ่ายรูป กับดอกไม้ โดยเฉพาะหญิงสาว เพราะความสวยของ ดอกไม้ทำาให้คนที่อยู่ในรูปสวยไปด้วย
บนดอยอ่างขาง โดยเฉพาะโครงการหลวงไม่ได้มี แต่ดอกไม้ แต่มีผลไม้หลายชนิด ล้วนแต่เป็นผลไม้ที่สนิท สนมกับอากาศหนาวทั้งสิ้น เช่น พลับ ลูกท้อ สตรอ เบอรี่ องุ่น
ผักแต่ละชนิดบนดอยอ่างขางก็เขียวอวบน่ากิน หรือที่มีสีม่วงและเหลืองก็น่ากินเช่นกัน
ผักที่ปลูกบนอ่างขาง ถ้ากินสด ๆ ลิ้นและจมูกจะ รายงานทันทีว่า ทั้งหอม หวานและกรอบ อีกทั้งยังกินได้ สบายใจเพราะไม่มียาฆ่าแมลงปนเข้าปากไปด้วย
บนอ่างขางในปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองบนภูุเขา ที่น่ามาอยู่ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร เพราะนอกจากมี อากาศสด ๆ ให้หายใจอย่างสบายจมูกแล้ว ยังมีผัก สด ๆ ให้กินตลอดทั้งปี อีกทั้งราคายังถูกอีกต่างหาก
อีกแห่งที่คนไปอ่างขางจะต้องไปเที่ยวก็คือหมู่ บ้านชาวเขา และเยี่ยมเยียนทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ ชายแดนไทย
ณ จุดนี้จะมองไปเห็นวิวทิวทัศน์ที่มีภูเขาสลับซับ ซ้อนไปจนถึงเขตแดนพม่า
ทั้งหมดข้างต้นคือปัจจุบันของอ่างขางที่ใคร ๆ อยากไปเห็นอยากไปเที่ยว
เช้าวันหนึ่ง ขณะผมนั่งอยู่ที่ตัวเมืองอ่างขาง ทำาให้ ก็ ผมอดนึกถึงความหลังครั้งแรกที่ได้มาที่อ่างขางไม่ได้
เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้วผมได้มาเที่ยวอ่างขาง กว่าจะถึงอ่างขางได้ ทุลักทุเลสิ้นดี
จากเชียงใหม่ผมกับเพื่อนร่วมเดินทางได้นั่งรถ สองแถวลุยขึ้นดอยอ่างขางโดยใช้เวลานาน
จากเชียงใหม่ถึงตีนดอยมีถนนดีให้รถแล่น ตอนรถไต่ขึ้นดอยอ่างขางเป็นถนนลูกรัง
ไม่ได้เป็นลูกรังเฉย ๆ ยังมีฝุ่นคลุ้งเมื่อล้อบดถนน จนเข้ามาในรถ ผมของทุกคนต้องกลายเป็นสีดินลูกรังโดย ไม่ต้องย้อม
จำาไม่ได้แล้วว่า ใช้เวลากี่ชั่วโมง รู้อย่างเดียวว่ารถ ต้องแล่นไต่เขา เลี้ยวไปเลี้ยวมาใช้เวลานานมากจนเหนื่อย กว่าจะถึงจุดหมาย แต่
ขึ้นไปถึงที่พัก ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นของกรมป่าไม้หรือ ไม่ สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำาคือต้องอาบนำ้าล้างตัวและสระ ผมท่ามกลางอากาศหนาว โดยไม่มีนำ้าอุ่นให้ใช้
ตอนนั้นยังถามตัวเองว่าขึ้นมาอ่างขางให้ลำาบาก ทำาไม ถ้าจะตอบก็คงตอบได้ว่า ขึ้นมาเพราะต้องการ เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามและอยู่กับอากาศหนาวมากกว่า เหตุผลอื่น
อ่างขางตอนที่ผมขึ้นไปครั้งแรก อำานวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเลย
ไม่มีดอกไม้และผลไม้เมืองหนาว ไม่มีผักสดให้กิน ไม่มีตัวเมือง มีแต่บ้านของชาวเขา
ยามเช้าจะเห็นชาวเขาจูงลาที่มีสัมภาระอยู่บนหลัง เดินอยู่ให้เห็นไกล ๆ ตอนนั้นสิ่งที่น่าสนใจบนอ่างขางมากที่สุดก็คือไร่ ฝิ่น และนี่คือเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมขึ้น ไปบนดอยอ่างขางก็เพราะอยากเห็นไร่ฝิ่น นั่นเอง
ฝิ่นออกดอกสีม่วงสวยงามเหลือ แต่ในความสวยนั้นก็คือเพชฌฆาต นี่เอง
ชาวเขานิยมปลูกฝิ่นเพราะปลูก ง่าย ไม่ต้องใส่ปุ๋ย พอปลูกฝิ่นตรงไหนไม่ งามก็ชวนกันไปตัดไม้เผาป่า ย้ายไปปลูก ที่อื่นแทน หรือที่เรียกว่าทำาไร่เลื่อนลอย นั่นแหละ
ดูอนาคตของดอยอ่างขางในเวลา นั้นแล้ว มีแต่จะเลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ป่า จะถูกทำาลายจนยากที่จะเยียวยา
ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดชาวเขาได้หันมาปลูกดอกไม้ ผลไม้ และปลูกผัก แทนปลูกฝิ่น จนใคร ๆ ก็อยากไปเที่ยว ที่ดอยอ่างขาง
เหตุที่ดอยอ่างขางมีสิ่งที่ดีงามเช่นนี้ได้ก็เพราะเกิด จากในหลวงโดยแท้ หรือที่ชาวเขาเรียกพระองค์ท่านว่า “พ่อหลวง”
ถ้าไม่มีพ่อหลวงของชาวเขา ดอยอ่างขางก็คง กลายเป็นภูเขาหัวโล้น ชาวเขาก็จะมีชีวิตอยู่อย่างยาก ลำาบาก และคงไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดอยากไปเที่ยวบน ดอยอ่างขางเหมือนทุกวันนี้อย่างแน่นอน. เกิน ดี ๆ ไม่มีอะไรที่จะ
ไมตรี ลิมปิชาติ