เรื่อง : โจล แอเคนบาค ภาพ : ฟิลลิป ทอลีดาโน, โรเบิร์ต คลาร์ก, แมกซ์ อากีเลรา-เฮลล์เวก และมาร์ก ทีสเซน นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนพฤศจิกายน 2559
ลอน มัสก์ อยากไปดาวอังคาร คำากล่าวอันลือเลื่องของผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ บริษัทสเปซเอกซ์ (SpaceX) คือเขาอยากตายบนดาว อังคาร และไม่ใช่แค่ยานตกตาย เทคโนโลยีที่อาจช่วย ป้องกันอุบัติเหตุดังกล่าวผ่านการทดสอบสำาคัญในคืน หนึ่งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เมื่อจรวดฟัลคอน 9 (Falcon 9) ที่สร้างโดยสเปซเอกซ์ ทะยานขึ้นจากแหลม คะแนเวอรัลในรัฐฟลอริดา พร้อมบรรทุกดาวเทียม สื่อสาร 11 ดวง
หลังบินขึ้นไม่กี่นาที จรวดเร่ง (booster) ก็ถูก ปลดออก เหมือนกับจรวดเร่งนับพันลำาที่ใช้กันมาตั้งแต่ อรุณรุ่งของยุคอวกาศ ซึ่งเผาไหม้ในบรรยากาศและ เหลือชิ้นส่วนตกกระจายในมหาสมุทร แต่จรวดเร่งลำานี้ ไม่ถูกทิ้ง แทนที่จะตกลงไปเฉย ๆ มันกลับหมุนตัว ติด เครื่องเพื่อชะลอการตกและบินไปหาแท่นลงจอดที่อยู่ ใกล้ พูดให้ง่ายคือมันบินถอยหลัง
บริษัทสเปซเอกซ์เพิ่งบรรลุก้าวย่างสำาคัญใน ความพยายามสร้างจรวดใช้ซ้ำาได้ มัสก์คำานวณว่า เทคโนโลยีนี้อาจลดค่าใช้จ่ายในการส่งจรวดลงเหลือหนึ่ง ในร้อย ซึ่งทำาให้สเปซเอกซ์ได้เปรียบในธุรกิจส่งดาวเทียม และการส่งสิ่งอุปกรณ์ (supply) ให้สถานีอวกาศ นานาชาติ แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายของมัสก์ เขาบอกในการ แถลงข่าวคืนนั้นว่า การลงจอดของจรวดเร่งเป็น “ก้าว สำาคัญบนเส้นทางสู่ความสามารถในการจัดตั้งเมืองบน ดาวอังคาร”
บริษัทสเปซเอกซ์ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี2002 ยังไม่เคย ส่งคนไปอวกาศ แต่หวังที่จะเปลี่ยนเรื่องนี้ภายในปีหน้า ด้วยการนำามนุษย์อวกาศของนาซาไปยังสถานีอวกาศ ด้วยจรวดฟัลคอน 9 (Falcon 9) บริษัทกำาลังสร้าง จรวดที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่จรวดฟัลคอนเฮฟวี (Falcon Heavy) แต่จรวดลำาใหม่ก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะนำามนุษย์ไป ดาวอังคารได้ และยังไม่มีวี่แววว่า สเปซเอกซ์ได้พัฒนา เทคโนโลยีอื่นใดที่จำาเป็นต่อการรักษาชีวิตมนุษย์ให้อยู่ รอดและมีสุขภาพดีบนดาวอังคาร หรือในการเดินทาง อันยาวนาน กระนั้น มัสก์ก็ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ ผ่านมาว่า สเปซเอกซ์มุ่งส่งมนุษย์อวกาศชุดแรกไปดาว อังคารในปี 2024 และจะลงจอดในปี 2025
องค์การนาซาซึ่งนำามนุษย์ไปลงดวงจันทร์เมื่อปี 1969 และเริ่มสำารวจดาวอังคารด้วยยานสำารวจมาตั้งแต่ ก่อนนั้น บอกว่า มีแผนส่งมนุษย์อวกาศไปดาวอังคารเช่น กัน แต่จะรอจนกระทั่งทศวรรษ 2030 และจะไปโคจรรอบ ดาวเคราะห์แดงเท่านั้น นาซายังบอกด้วยว่า งานอันตราย และยากเย็นอย่างการนำายานขนาดใหญ่ลงจอดเป็น “เป้า หมายที่ขอบฟ้า” ที่จะลุล่วงในทศวรรษต่อจากนั้น และยัง ไม่มีการพูดถึงเมืองบนดาวอังคารแต่อย่างใด
สิ่งที่นาซาทำานอกเหนือจากการออกแบบจรวดไป ดาวอังคารของตนเอง คือการทุ่มเทวิจัยเรื่อง การดูแลผู้โดยสาร ตัวอย่างเช่นเมื่อเดือน มีนาคมที่ผ่านมา มนุษย์อวกาศ สกอตต์ เคลลี และ มีฮาอิล กอร์เนียนโก ชาวรัสเซีย กลับสู่ โลกหลังใช้ชีวิตอยู่บนสถานีอวกาศนาน 340 วัน พวกเขาทำา “ภารกิจหนึ่งปี” โดยเป็นหนูทดลอง ในการศึกษาว่า การอยู่ในอวกาศเป็นเวลานาน (เที่ยวบินไปกลับดาวอังคารใช้เวลาเกือบสามปี) จะมีผลต่อร่างกายและจิตใจมนุษย์อย่างไร
ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดให้ภาพความสนุก ของสภาพไร้น้ำาหนัก แต่การสัมภาษณ์เคลลีกับ กอร์เนียนโกจากสถานีอวกาศเผยให้เห็นอีกแง่ หนึ่ง หน้าพวกเขาบวมเพราะเลือดไม่ไหลลง มนุษย์อวกาศต้องทำาตัวให้ชินกับการยึดร่างกาย เข้ากับส้วมดูด และแม้แต่การเช็ดตัวด้วยผ้า หมาดตลอดทั้งปี ในการเดินทางไปดาวอังคาร ซึ่งไกลและอันตรายกว่ามาก สิ่งที่อวกาศกระทำาต่อ ร่างกายมนุษย์อาจเป็นปัญหามหึมา “พวกเขาจะป่วย เมื่อ ไปถึงค่ะ” เจนนิเฟอร์ โฟการ์ตี รองหัวหน้านัก วิทยาศาสตร์ในโครงการวิจัยมนุษย์ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสัน ขององค์การนาซาในเมืองฮิวสตัน บอก
กระดูกจะสลายตัวในความโน้มถ่วงเป็นศูนย์ กฎ ทั่วไปคือคุณจะเสียมวลกระดูกร้อยละหนึ่งต่อเดือน การ ออกกำาลังกายอย่างหนักช่วยได้ แต่อุปกรณ์ใหญ่โตที่ ใช้บนสถานีอวกาศหนักเกินไปสำาหรับภารกิจดาวอังคาร มนุษย์อวกาศบางคนบนสถานีอวกาศมีอาการตาพร่า อย่างหนัก น่าจะเพราะของเหลวที่สะสมในสมองไปกด ดวงตา รูปการณ์ในฝันร้ายคือการที่มนุษย์อวกาศลงจอด บนดาวอังคารด้วยสายตาพร่ามัวและกระดูกเปราะ แล้ว เกิดขาหักทันที
รังสีคือภัยอีกชนิดหนึ่ง สถานีอวกาศมีสนามแม่ เหล็กโลกช่วยปกป้องได้มาก แต่ในการเดินทางสู่ดาว อังคาร มนุษย์อวกาศจะเสี่ยงต่อรังสีจากการลุกจ้าของ ดวงอาทิตย์และรังสีคอสมิก รังสีคอสมิกสามารถทำาลาย ดีเอ็นเอและเซลล์สมอง ซึ่งหมายความว่ามนุษย์อวกาศ อาจไปถึงดาวอังคารในสภาพโง่ลงเล็กน้อย สิ่งหนึ่งที่เป็น ไปได้คือ การหุ้มส่วนอยู่อาศัย (habitat module) ใน ยานด้วยชั้นน้ำาหนา หรือต้นไม้ที่ปลูกในดิน เพื่อเป็นฉาก กั้นรังสีส่วนหนึ่ง
เพียงแค่การจัดหาน้ำาดื่มและอากาศหายใจให้ มนุษย์อวกาศอย่างเพียงพอก็เป็นความท้าทาย วันหนึ่งที่ ศูนย์อวกาศจอห์นสัน ผมพบ เคนนี ทอดด์ ตำาแหน่งของ เขาเรียกว่า ผู้จัดการบูรณาการปฏิบัติการสถานีอวกาศ เขาอยู่ที่สำานักงานข้ามคืนเพื่อคอยดูแลเที่ยวบินส่ง สัมภาระหนึ่งในหลายเที่ยวที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว แต่มีความ สำาคัญขั้นวิกฤติ
น้ำาบนสถานีอวกาศบางส่วนมาจากปัสสาวะและ เหงื่อที่กรองและนำากลับมาใช้ใหม่ แต่ตัวกรองอาจถูกอุด ตันด้วยแคลเซียมจากกระดูกที่ผุกร่อนของมนุษย์อวกาศ และบางทีน้ำาก็มีจุลชีพปนเปื้อน “การทำางานกับปัสสาวะ มีแต่เรื่องจุกจิกมากครับ” ทอดด์บอก ตัวฟอก คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศก็เสียได้เหมือนกัน เช่น เดียวกับอุปกรณ์เกือบทุกอย่างบนสถานี ในวงโคจรใกล้ โลก สิ่งเหล่านี้ไม่สำาคัญนัก เพราะนาซาสามารถส่งอะไหล่ ขึ้นไปทดแทนได้ ยานอวกาศไปดาวอังคารจะนำาเฉพาะ อะไหล่เท่าที่มันบรรทุกไปได้ ทอดด์บอกว่า อุปกรณ์ช่วย ชีวิตทั้งหมดจึงต้องไว้ใจได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยิ่ง ขึ้นไปอีก หรือเท่ากับห้ามเสียนั่นเอง
นั่นไม่ได้แปลว่าเขาไม่ต้องการส่งคนไปดาว อังคาร และไม่ได้วิจารณ์นักฝันที่พร้อมจะขึ้นจรวด “คุณ ต้องเริ่มที่ไหนสักแห่ง คุณต้องเริ่มที่การฝัน และบางทีใน ฝันนั้น อะไรก็เป็นจริงได้” ทอดด์บอก.