ทรงพระเจริญ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ทรงดำารงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 และได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ สนองพระราช ปณิธานแห่งสมเด็จพระชนกและสมเด็จพระชนนี เพื่อความเจริญมั่นคงของ ประเทศไทยและความอยู่ดีมีสุขของปวงชนชาวไทย สืบเนื่องมาโดยตลอด จวบจนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 แห่ง พระบรมราชจักรีวงศ์ ในปี พ.ศ. 2559 นี้
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.45 น. สำานักพระราชวัง ได้ออกประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลา ธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จสวรรคต เมื่อ เวลา 15.52 น. วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี ซึ่งสำาหรับประเทศไทยและประชาชนคนไทย นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 7 ทศวรรษที่ผ่านมา
ต่อมาวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 รัฐบาล โดยนายวิษณุ เครือ งาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงกรณีองค์พระรัชทายาทตามบทบัญญัติ กฎหมายว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสถิต อยู่ในตำาแหน่ง “พระรัชทายาท” ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญระบุชัดเจน เมื่อราช บัลลังก์ว่างลง ในกรณีได้มีการตั้งพระรัชทายาทไว้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้อง แจ้งประธานรัฐสภา ซึ่งขณะนี้คือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ ทราบว่าได้มีการตั้งพระรัชทายาทไว้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเอกสารหลักฐาน ประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ขั้นตอน จากนั้นจะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อมีมติรับทราบอย่างเป็นทางการ และอัญเชิญ องค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์ จากนั้นจะออกประกาศให้ประชาชนทราบ ว่า บัดนี้ประเทศไทยจะมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งขั้นตอนทุกอย่าง เดินตามกฎมณเฑียรบาล และตามรัฐธรรมนูญ อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ
อย่างไรก็ดี ในเวลา 21.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรี ได้แถลงว่า ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร โดยพระองค์ทรงมีรับสั่ง ความสำาคัญว่า ทรงรับพระราชทานเป็น องค์รัชทายาทอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ทรงขอเวลาทำาพระทัยและแสดงความ เสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในระยะเวลานี้ สำาหรับกระบวนการ กฎหมายในการอัญเชิญขึ้นสืบราชสมบัตินั้น ทรงขอให้รอเวลา และทรงยืนยัน ว่าทรงตระหนักในหน้าที่องค์รัชทายาทในส่วนของพระราชภารกิจต่าง ๆ ซึ่ง จะทรงปฏิบัติในฐานะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไป ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม
ในวันเดียวกันนี้ นายวิษณุ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงอีกว่า รัฐบาล รับสนองพระราชปรารภของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราช กุมาร และพระองค์ทรงมีพระบัณฑูรกับนายกรัฐมนตรีว่า การพระราชพิธี พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะประดิษฐาน นานประมาณ 1 ปี ซึ่งต่อจากนั้นจึงจะถึงเวลาพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ดัง นั้นจึงยังไม่อยู่ในขั้นตอนที่รัฐบาลแจ้งไปยังรัฐสภา รัฐสภามีมติรับทราบ และ อัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นครองราชย์ อย่างไรก็ตาม รัชสมัยแห่งรัชกาล ใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นคนละ ส่วนกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
จากวันที่ 13 ต่อเนื่องถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และสืบเนื่อง เรื่อยมา ทุกดวงใจไทยหลอมรวมมุ่งสู่การพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยการพระราชพิธีฯ ได้ผ่านวาระ ต่าง ๆ ดังที่สำานักพระราชวังได้ออกหมายกำาหนดการ คือ พระราชพิธีทรง บำาเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) วันที่ 19 ตุลาคม พิธีบำาเพ็ญพระราช กุศลปัณรสมวาร (15 วัน) วันที่ 27 ตุลาคม พระราชพิธีทรงบำาเพ็ญพระราช กุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ย้อนไปในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 09.00 น. ที่ ทำาเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครม. โดยมีวาระพิเศษพิจารณาเรื่องสำาคัญเพื่อส่งต่อให้ สนช. ดำาเนินการต่อไป และ ในวันเดียวกันนี้ สำานักนายกรัฐมนตรี ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร. 0503/44549 ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี ถึงประธาน สนช. ในเวลา 10.08 น. เรื่อง แจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎ มณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 โดยใจความสำาคัญ ส่วนหนึ่งในหนังสือด่วนนี้ คือ จำาเป็นต้องดำาเนินการเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติ สืบต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ในเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้ชะลอการดำาเนินการในส่วนของรัฐบาลไว้ ก่อน เพื่อสนองพระราชดำาริในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราช กุมาร ที่ว่า ยังไม่สมควรดำาเนินการใดที่แสดงถึงการมีพระมหากษัตริย์พระองค์ ใหม่ในระหว่างที่ประชาชนอยู่ในภาวะทุกข์โศกและยากจะทำาใจ พระองค์เองก็ ทรงขอเวลาร่วมทุกข์กับประชาชนจนกว่าการพระราชพิธีพระบรมศพจะผ่าน พ้นไประยะหนึ่ง ซึ่งมีพระราชดำาริว่าเมื่อการบำาเพ็ญพระราชกุศลทักษิณา นุปทานผ่านพ้นจนถึงปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) คือวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แล้ว จึงค่อยพิจารณาดำาเนินการต่อไป บัดนี้ การพระราชพิธีพระบรม ศพได้ล่วงเลยจนเข้าเขตปัญญาสมวาร รัฐบาลจึงนำาความกราบบังคม ทูลว่านับเป็นกาลอันควรดำาเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามราชประเพณี และรัฐธรรมนูญ อันจะยังความปลาบปลื้มปีติ และสร้างขวัญกำาลังใจแก่พสก นิกร ซึ่งทรงทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว
หนังสือด่วนที่สุดนี้ได้มีการระบุและอ้างอิงการดำาเนินการเรื่องสำาคัญ ยิ่งเรื่องนี้ ทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้บังคับอยู่, กฎ มณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 มาตรา 4 (1) มาตรา 4 (2), เหตุการณ์ครั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยาม มกุฎราชกุมาร ทรงรับราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6 สืบต่อจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระบรมชนก นาถ, ประกาศพระบรมราชโองการ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตาม ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เล่ม 89 ตอนที่ 200 รวมถึงการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา วชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ตรัสถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานในการ พระราชพิธีถือนำ้าพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
นอกจากนี้ หนังสือด่วนที่สุดนี้ได้ระบุด้วยว่า เมื่อพิจารณาตาม ประวัติศาสตร์ ข้อกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการสถาปนา และ โบราณราชนิติประเพณีแล้ว ล้วนแต่วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสืบราชสันตติ วงศ์ไว้เป็นแบบแผนเดียวกัน ครม.จึงแจ้งมายังประธาน สนช. ในฐานะประธาน รัฐสภา เพื่อทราบว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระรัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง ไว้แล้ว และทรงสถิตอยู่ในที่พระรัชทายาทสืบมา ใหม่ และได้กล่าวคำาถวายพระพร “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” พร้อมกัน จาก นั้นจึงมีการปิดประชุมในเวลา 11.25 น. โดยใช้เวลาในการประชุมวาระ พิเศษนี้ 6 นาที
ที่ทำาเนียบรัฐบาลในวันเดียวกัน นายวิษณุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าว ถึงขั้นตอนของ ครม. และ สนช. ในเรื่องสำาคัญเรื่องนี้ว่า มี 4 ขั้นตอน คือ 1.ครม.แจ้งเรื่องไปยัง สนช., 2.ประธาน สนช.แจ้งที่ประชุม สนช.รับทราบ, 3.ประธาน สนช. เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ และ 4.เมื่อ พระองค์ทรงรับ ประธาน สนช. แจ้งให้ประชาชนทราบ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้อง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่มีกรอบเวลากำาหนดว่าจะต้องประกาศเมื่อ ใด ทั้งนี้ หลัง 4 ขั้นตอนนี้แล้ว จะใช้คำาว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” จนกว่าจะ มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงใช้คำาว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” แต่ พระราชอำานาจนั้นเท่ากันทุกประการ