ลุ้นแชมป์ลูกหนังอาเซียนสมัยที่ 5
จากความพ่ายแพ้ในนัดนี้ส่งผลให้ ทีมชาติไทย หยุดสถิติในการชนะ ติดต่อกัน ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ไว้ที่ 5 นัด หลังจาก รอบแรก ชนะ อินโดนีเซีย 4-2, ชนะ สิงคโปร์ 1-0, ชนะ ฟิลิปปินส์ 1-0, รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ชนะ เมียนมา 2-0, นัด 2 ชนะ เมียนมา 4-0
ซึ่งเป็นสถิติที่เท่ากับปี 2000 หรือ “ไทเกอร์ คัพ 2000” ที่ เราเป็นจ้าภาพ ด้วยการชนะ 5 นัดรวดเช่นกัน ก่อนที่ “ช้างศึก” จะก้าว ไปสู่ตำาแหน่งแชมป์ โดยรอบแรก กลุ่ม A ชนะ เมียนมา 3-1, ชนะ อินโดนีเซีย 4-1, ชนะ ฟิลิปปินส์ 2-0, รอบรองชนะเลิศ ชนะ มาเลเซีย 2-0, รอบชิงชนะเลิศ ชนะ อินโดนีเซีย 4-1
มีสถิติที่น่าคิดน่าสนใจอีกประการคือนับตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยน ระบบการเล่นใหม่ มาเป็นแบบเหย้า-เยือน เมื่อปี 2004 เป็นต้นมา ทีม ที่แพ้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ นัดแรกมาก่อน ไม่เคยกลับมาคว้าชัยชนะหรือ คว้าแชมป์ได้เลย
ขณะที่ อินโดนีเซีย เคยเข้ารอบชิงชนะเลิศ มาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่ก็ อกหัก ไม่เคยสัมผัสแชมป์ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในส่วนของ “เจ้ามุ้ย” นั้น จากการที่เขายิงประตูได้ในนัดนี้ ทำาให้ มีสถิติยิงประตูในปีนี้ไปแล้ว 6 ประตู และเป็นการยิงอินโดนีเซียทีมเดียว ล้วน ๆ ถึง 4 ประตู (รอบแรก ยิงไป 3 ประตู) ส่วนสกอร์รวมทั้งหมด อยู่ที่ 15 ประตู แม้ “กัปตันมุ้ย” จะนำาเป็นดาวซัลโวในครั้งนี้ แต่ก็อย่า ลืมเขาเองยังไม่เคยคว้าแชมป์รายการนี้กับทีมชาติไทยเลย ทำาได้เต็มที่ ก็แค่ “พระรอง (แชมป์)” สองครั้งเท่านั้น
เกมนัดชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 จะกลับมาเล่นกันที่เมืองไทย ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 19.00 น. ช่อง 7 สี จะถ่ายทอด “ช้างศึก” สดเหมือนเดิม ซึ่งแม้ว่า เปรียบอยู่ไม่น้อย
ทั้งจากการที่ยิงประตูทีมเยือนมาได้ 1 ลูก ซึ่งการเล่นแบบเหย้าเยือน เป็นเรื่องที่สำาคัญอย่างมาก สกอร์ 1-2 จะทำาให้ ทีมไทย เล่นได้ง่าย ขึ้น รวมถึงการกลับมาเล่นในบ้าน ซึ่งโมเมนตั้มจะต้องเทมาทางฝั่งไทย แน่นอน และด้วยสไตล์การเล่นที่บังคับให้เปิดเกมรุก บวกกับเสียงเชียร์ จากกองเชียร์กว่า 40,000 คน ในสนามราชมังคลากีฬาสถาน จะกดดัน นักเตะทีมเยือนกลับคืนไปได้เช่นกัน จะพ่ายแพ้มาก่อน แต่โดยรวมแล้วก็ยังได้
แต่กระนั้น “ฟุตบอล” ไม่ใช่เรื่องของ “บัญญัติไตรยางศ์” ทุก อย่างวัดกันในสนาม ตัดสินกันที่การยิงประตูเป็นสำาคัญ เชื่อว่าในเกม นัดชี้ชะตาครั้งนี้ “โค้ชซิโก้” จะต้องแก้เกมอย่างหนัก เพื่อเจาะประตูคู่แข่ง ให้ได้เร็วที่สุด และลดความกดดันให้กับลูกทีม อีกประเด็นที่สำาคัญไม่แพ้กัน คือเรื่องของการควบคุมอารมณ์ หากนักเตะไทยตบะแตกก็มีสิทธิที่ทำาให้ทีม เสียหายได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนรู้ดีและต้องระวังอย่างมาก
ทางฝั่ง อินโดนีเซีย อัลเฟร็ด รีเดิล กุนซือใหญ่ รู้ดีว่าลูกทีม ของเขามาแบบ “มวยรอง” เล่นแบบไม่กดดันถ้าจะใช้แผน “รถบัส” มาอุดหน้าประตูตามที่เกจิแห่งวงการลูกหนังทำานายทายทักเอาไว้ก็ไม่ แปลกอะไร แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านอกจากเกมรับอันเหนียวแน่นแล้ว “อิเหนา” ยังมีเกมโต้กลับที่อันตรายมากและเล่นงานแนวรับของไทยมา แล้วในการเจอกันทั้ง 2 นัด ซึ่ง อัลเฟร็ด รีเดิล น่าจะเห็นจุดอ่อนของทีม ไทยและเตรียมแผนมารับมืออย่างดี
เกมนัดชี้ชะตาในค่ำาคืนวันที่ 17 ธ.ค.นี้ จะตัดสินว่า “ช้างศึก” จะได้ครองแชมป์อาเซียน สมัยที่ 5 หรือว่าจะเป็น “แข้งอิเหนา” ที่เถลิง บัลลังก์แชมป์สมัยแรกกันแน่
สิ่งหนึ่งที่ทุกฝ่ายอยากจะฝากไปยังแฟนบอลชาวไทยก็คือการ ทำาหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี อย่าลืมว่า “ฟุตบอล” เป็นสิ่งสวยงาม แต่ถ้า มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น สิ่งสวยงามนั้นก็จะกลายเป็น “สิ่งเลวร้าย” ไปใน ทันที และผลที่จะตามมาใครก็รับผิดชอบไม่ไหว
บทเรียนลำ้าค่าจาก “ปลาเน่าตัวเดียว” ของเราเกิดขึ้นแล้ว จาก เกมรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 กับ เมียนมา เมื่อไม่กี่วันมานี้ ฉะนั้นหากแฟน บอลยังรักและศรัทธาเกมลูกหนังก็อย่าให้ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายเกิดขึ้น ซำ้าสองอีกเลย ไม่เช่นนั้น วงการลูกหนังไทยจะฉาวโฉ่ไปทั่วผืนปฐพีแน่นอน.