ปัจจัยเสี่ยง..
ใคร ที่คาดหวังว่า แม่น ้�ำทั้ง 5 สำยที่คสช. ก่อก�ำเนิด ขึ้น จะไหลไปสู่จุดหมายเดียวกัน แต่พอได้เห็นบทบำทของสภำ นิติบัญญัติแห่งชำติ (สนช.) กรณีมีมติให้ขยายเวลาการพิจารณา กฎหมายสา�คัญ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงำน คงต้องคิดใหม่เหมือนกัน
ลองไปเทียบข่าว 2 เรื่องนี้ดู เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา “พล.อ.อนันตพร กำญจนรัตน์” รมว.พลังงำน ออกมำแถลงผล กำรดำ�เนินงำนในรอบปี 2559 ระบุว่า ที่ผ่านมา ได้ดูแลค่าครอง ชีพประชาชน โดยเฉพาะด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปรับลดค่ำไฟฟ้ำ ผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที)
ส่งผลให้ประเทศ สำมำรถประหยัดค่ำไฟฟ้ำได้กว่ำ9 หมื่น ล้ำนบำทต่อปี พร้อมยืนยันว่า ภำพรวมกำรทำ�งำนของกระทรวง ถือว่ำประสบควำมส�ำเร็จ ทั้งด้านความมั่นคง ความมั่งคั่ง และ ความยั่งยืนด้านพลังงาน
ถัดมาอีกวัน เมื่อวันที่12 มกราคม สนช. กลับมีมติให้ขยำย เวลำ การพิจารณา ร่ำงพ.ร.บ. ปิโตรเลียม (ฉบับที่) พ.ศ. และ ร่ำง พ.ร.บ. ภำษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่..) พ.ศ. ครั้งที่ 5 ออกไปอีก 30 วัน ไปถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ตำมที่กรรมำธิกำร (กมธ.) พลังงำน ที่มี พล.อ.สกนธ์ สัจจำนิตย์ เป็นประธำนฯ เสนอ นั่น หมายความว่า ร่ำงพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับล่ำช้ำไปจำกกำ�หนดเดิมแล้ว 180 วัน โดยไม่มีอะไรบ่งบอกหรือก�าหนดแน่ชัดว่า จะเป็นการ เลื่อนครั้งสุดท้ายหรือไม่
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก กับปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้น จะท �าให้ “พล.อ.อนันตพร” ถึงกับระบุว่า ความล่าช้าในการพิจารณาร่างกฎหมาย ปิโตรเลียมทั้ง 2 ฉบับ เป็น “ปัจจัยเสี่ยงทำงพลังงำนของปี 2560”
อยากบอก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และเป็นประเด็นที่สนช. ควรขบคิดให้มาก เพรำะกำรเล่นบทเลื่อนไปข้ำงหน้ำเรื่อย ๆ นั่น หมายถึง ควำมมั่นคงด้ำนพลังงำนของประเทศ เข้ำสู่ภำวะสุ่มเสี่ยง
ความล่าช้าของการเปิดประมูล 2 แหล่งปิโตรเลียม คือ แหล่งบงกช และ เอรำวัณ ที่จะหมดอำยุสัมปทำนปี 2565-2566 จะกระทบต่อแผนการผลิตก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักใน กำรผลิตไฟฟ้ำของประเทศ เมื่อก๊าซไม่เพียงพอในที่สุด รัฐบำลจะ ต้องนำ�เข้ำแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้น และต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คือ คลังบรรจุก๊าซเพิ่ม
และส่งผลให้ “กรมเชื้อเพลิงธรรมชำติ” ออกมาส่ง สัญญาณเตือนไปยังภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้ก๊ำซรำยใหญ่ ให้เตรียมตัวรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จำกควำมล่ำช้ำของกำร พิจำรณำร่ำงกฎหมำยทั้ง 2 ฉบับ
“นำยวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชำติ ระบุว่า กรณีนี้อำจทำ�ให้กำรผลิตก๊ำซในอ่ำวไทยหยุดชะงัก และ ปริมำณก๊ำซประมำณ3 ล้ำนล้ำนลูกบำศก์ฟุต จะหายไปจากระบบ ภาคอุตสาหกรรม จะมีต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นด้วย ในขณะที่ภาค รัฐ จะได้รับผลกระทบจำกรำยได้ค่ำภำคหลวงและภำษีเงินได้ ปิโตรเลียม ที่จะหายไปด้วยเช่นกัน
ล่าสุด “รมว.พลังงำน” ยังออกมาเปิดเผยว่า บริษัท เชฟ รอน และ ปตท.สผ. ผู้รับสัมปทำนปิโตรเลียมทั้ง 2 แหล่ง ได้ สอบถามมายังกระทรวงพลังงาน เพื่อขอรับทรำบกรอบระยะเวลำ ด �าเนินการเปิดประมูลที่ชัดเจน และแจ้งว่าหากการประมูลล่าช้า ออกไป ทำงเอกชนอำจต้องปรับแผนลดวงเงินลงทุน ในแหล่ง สัมปทานดังกล่าว
พูดง่าย ๆ ในยามที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซา ต้องการเงินราย ได้เข้าประเทศ ต้องการการจ้างงาน กำรเลื่อนพิจำรณำกฎหมำย โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน นอกจากจะต้องจ่ายเงินนา�เข้าแอลเอ็นจี เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่ำไฟฟ้ำเพิ่มขึ้นในที่สุด ที่แย่กว่านั้นนั่นคือ “รำยได้ของแผ่นดิน” จะหดหำยไป ขณะที่การปรับลดเงินลงทุน นั่นหมายถึง กำรจ้ำงงำนที่ลดลง และอาจจะมีคนตกงาน
งานนี้คงต้องฝากถึง สนช. ต้องช่วยกันขบคิดให้หนัก หลัง ใช้เวลายาวนานในการทา�การบ้านถึง 180 วัน ทั้งที่มีสัญญำณเตือน จำกผู้ที่เกี่ยวข้อง และค า� ถามจากสังคมว่า สนช.กำ�ลังถูกครอบงำ� จำกกลุ่มกำรเมืองนอกสภำหรือไม่
แล้วถ้าวันหนึ่งค่าไฟฟ้าขึ้นราคา เพรำะต้นทุนแอลเอ็นจี ความพยายามของ รมว.พลังงาน ที่ลดค่าครองชีพของประชาชน ใน ช่วงที่ผ่านมา อำจเป็นผลงำนที่ไม่เหลือในควำมทรงจำ� อันเนื่องมา จากเพราะพิษ จำกผลงำนโรคเลื่อนของกมธ.พลังงำนฯ สนช.