ผันชีวิตจาก ‘สาวโรงงาน’ สู่เถ้าแก่เฟอร์นิเจอร์บ้านม้า

แม่สามีและเจี๊ยบช่วยกันค่ะ ส่วนการขึ้นของ และไปส่งของให้ลูกค้า สามีและพ่อจะช่วยกัน เราไม่มีลูกจ้างสักคนค่ะ แนวทางของร้านเรา คือเน้นความต้องการของลูกค้า เรา ต้องคิดว่าตู้ เตียง แบบไหนที่ลูกค้า เห็นแล้วน่าจะซื้อ เพราะถ้าเรา ขายแต่ตู้โหล ๆ เราก็จะได้แค่ นั้น ที่สำ�คญัคือเราดูแลลูกค้า เอง ขายเอง ไม่บอกราคาเผื่อต่อ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำ�ให้ลูกค้า กลับมาซื้ออีก และบอกต่อ จากที่เริ่มแรกเรารับมาขาย ไปก็เริ่มสั่งผลิต และทำ�ให้ ลูกค้ามาที่ร้านแล้วได้สินค้าไป แบบครบวงจร ทั้งที่นอน ตู้ เตียง จบที่ร้านเราเลย” นอกจากนี้ยังมีงานจากหน่วย งานราชการ หอพัก โฮมสเตย์ ที่ ต้องการเฟอร์นิเจอร์ ทั้งแบบน็อกดาวน์ และบิลต์-อิน ซึ่งสามีเรียนมาทาง ก่อสร้างและมีหัวทางด้านนี้อยู่แล้ว ยิ่ง ทำ�ให้มีการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น แม้แต่โฮม สเตย์สร้างใหม่ในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ยังตรง ดิ่งมาสั่งสินค้าที่เรา เพราะเช็กแล้วไม่ผิดราคา ได้ เห็นบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นอย่างดี นอกจากนี้การทำ�การตลาดออนไลน์ ยังช่วยให้ สามารถขยายตลาดได้กว้างขึ้นด้วย

“แม้ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เราก็ต้องคิด ว่าจะทำ�อย่างไรให้ของขายได้ โดยอาจจะจัดลด ราคา และหันไปทำ�ธุรกิจบ้านพักอีกทางหนึ่ง เพราะมีพื้นที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้มี รายได้มาสง่เสรมิ ทั้งที่เราไมเ่คยเรียนมาดา้นการ บริหารจัดการ หรืองานบัญชี แต่เราต้องหาความ รู้ให้ตัวเอง ต้องขยัน และแอ๊คทีฟเสมอ ซึ่งเรารู้สึก สนุกกับการทำ�งาน ไม่เคยคิดว่าเหนื่อย หรือต้อง อดทนกับการทำ�งานค่ะ”

เจี๊ยบบอกว่า คนเราบางคนอาจจะไม่ได้ เรียนมาสูง แต่เราสามารถทำ�ตวัเองให้ประสบความสำ�เร็จได้ ขึ้นอยู่กับความ ตั้งใจ มุ่งมั่น มีเป้าหมาย และลงมือทำ�ตามที่เราคิด ตามสถานการณ์ที่เรา เจอ ส่วนตัวคิดว่าเราเติบโตอย่างรวดเร็วมาถึงวันนี้ เพียง 15 ปี จากร้าน เล็ก ๆ เพราะเรามีความมุ่งมั่น ไม่คิดว่าเราจะเป็นลูกจ้างตลอดไป ประกอบ กับคนในครอบครัวมีความสามารถคนละแบบ แล้วช่วยกัน ทั้งพ่อแม่สามี และพ่อแม่เจี๊ยบเองจะช่วยกันทำ�งานทุกคน โดยเฉพาะระบบการเงินที่เจ้าของ จะต้องดูแลเอง ป้องกันการรั่วไหล